หลายๆ คนอาจจะมีความทรงจำดีดีที่เก็บเอาไว้แล้วไม่อยากเปิดมันออกมาอีก ด้วยเหตุที่ว่าตอนจบของมันดีอยู่แล้ว หรือ อยากหยุดเอาเพียงแค่นั้น ถึงแม้ระยะเวลาผ่านพ้นไปเพียงใด แต่เชื่อได้ว่าความทรงจำดีดีของทุกคนยังมีอยู่
เรื่องเล่ามีอยู่ว่า วันหนึ่ง เด็กชายได้ค้นพบกล่องใบเก่าที่เก็บความทรงจำวัยหนุ่มของคุณปู่ของเขา กล่องได้เก็บจดหมายจำนวนมากมายและมีอีกกล่องเป็นเพียงกล่องใส่แหวนใบเล็กที่ว่างเปล่า เด็กชายเริ่มต้นอ่านจดหมายเก่าๆ จำนวนมากเหล่านั้น จดหมายได้บรรยายความรู้สึกที่คุณปู่แสดงความรักต่อเพื่อนหญิงคนหนึ่ง เด็กน้อยประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ ที่พรรณนาเอาไว้ด้วยกันจนเป็นเรื่องราวสมัยก่อน เรื่องราวที่ถ่ายทอดอารมณ์ เรื่องราวที่แสดงถึงความรู้สึกมากมาย
“ วันที่ ๘ ธันวา วันนี้ตื่นแต่เช้าเพราะมีแรงจูงใจอะไรบางอย่าง เมื่อมีความรู้สึกดีกับใครบางคนมันทำให้เราทำอะไรได้ทั้งวันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย.....”
“วันที่ ๒๖ ธันวา วันนี้ไม่รู้เกิดอะไร เธอร้องไห้ตาปูดเลย (สงสัยมาสคาล่าไหลย้อยแหงๆ) ความรู้สึกเธอคงถูกทำร้าย เป็นโอกาสดีที่ได้ดูแลแล้ว”
“วันที่ ๔ มีนา หาซื้อดอกไม้ให้เธอบ้าง เธอชอบดอกสีขาว(เดาเอา)”
“ วันที่ ๑๒ มีนา ดูท่าเธอจะเหนื่อยจากงานแน่ๆ อย่าลืมถามว่าวันนี้เหนื่อยรึเปล่า”
“วันที่ ๓ เมษา วันนี้ไม่รู้ไปโกรธใครมา (อย่าลืมเข้าข้างเธอละ ทำไปเถอะ) “
“วันที่ ๑๐ เมษา วันนี้เธอบ่นว่าปวดแขน อย่าลืมไปนวดแขนให้ละจะได้แต้ะอั๋งซะ ยังดีซะกว่าเพื่อนเราบางคนต้องไปนวดตีน เหอะๆ”
“วันที่ ๑ พฤษภา ไปต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ดูแลที่รักเลย ก่อนกลับอย่าลืมถามว่าที่รักอยากได้อะไรบ้าง”
“วันที่ ๑๙ มิถุนา ๒๕๕๑ (อยาก) กอดเธอวันละหนึ่งครั้ง (อยาก) บอกรักเธอทุกวัน”
เด็กน้อยเผลอหลับไปในช่วงเวลานั้นเอง...... รุ่งเช้าวันต่อมาหลานชายตื่นขึ้นมาด้วยความฉงนสงสัยยิ่งนักว่าทำไมจดหมายจึงเขียนมาถึงปัจจุบัน หลายชายตามหาคุณปู่ เช้าวันนี้คุณปู่นั่งเล่นอยู่ที่สวนหลังบ้าน หลานชายเข้ามานั่งใกล้ๆแล้วถามขึ้นว่า “คุณปู่เล่าเรื่องคนรักที่อยู่ในกล่องนั้นให้ผมฟังหน่อยจิ”
ปู่ยิ้มแล้วตอบว่า”เอากล่องใบใหญ่ หรือ กล่องแหวนใบเล็ก” คำถามดังกล่าวทำให้หลานชายงง หลายชายตอบกลับไปว่า “งั้นเอากล่องใบเล็กก่อน” ปู่จึงเริ่มเล่าให้ฟังว่า “สมัยที่ยังหนุ่มอยู่นั้นได้ชอบหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ชอบเธอมานานแล้วและได้ใช้เวลาดูแลเธออย่างที่ความทรงจำดีดีไม่เคยลืมเลือน ด้วยความอ่อนหวานได้ขัดเกลาความแข็งกระด้างในจิตใจ ด้วยรอยยิ้มได้เจือจางความเหนื่อยล้าในแต่ละวัน เป็นระยะเวลานานพอสมควรที่ทั้งคู่ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนสิ่งดีดี มิตรภาพยั่งยืนยิ่งกว่าสิ่งใดแต่ก็ไม่เคยได้เอ่ยปากบอกความจริงใดๆ จนมาถึงวันหนึ่งวันที่เธอจะต้องจากลาไปยังที่อื่น ที่ที่ห่างไกลกัน เธอต้องไปแต่งงานกับคนที่พ่อแม่ของเธอจัดไว้เป็นคู่หมั้น วันนั้นปู่ได้ตัดสินใจหยิบเอากล่องแหวนดังกล่าวไปด้วย ไปหาเธอ ไปเพื่อบอกความในใจ เมื่อพบเธอคนนั้นต่างฝ่ายต่างมองตากัน บางครั้งภาษาไม่ได้สื่อสารกันทางคำพูดแต่ด้วยกริยา ปู่หยิบเอากล่องดังกล่าวขึ้นมาแล้วเปิดกล่องดังกล่าวออก กล่องใบเล็กดังกล่าวเป็นเพียงแค่กล่องเปล่า
ชายหนุ่มวันนั้นได้เอ่ยปากกับหญิงสาวเพียงว่า
“วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะให้เธอ ฉันมีเพียงแค่กล่องใส่แหวน แต่ฉันไม่มีเงินพอจะซื้อแหวนให้เธอหรอก เธอรับไปเถอะ............................................................”
หญิงสาวยิ้มแล้วยื่นมือมาที่ชายหนุ่ม “สวมให้ฉันสิ......................(หญิงสาวนิ่งเงียบ)................................. สวมแหวนสูญากาศให้ฉันเถอะ” หญิงสาวยิ้มด้วยความยินดีถึงแม้ในกล่องแหวนจะว่างเปล่า ชายหนุ่มดีใจยิ่งนัก ยื่นมือไปหยิบแหวนที่อยู่ในจินตนาการของทั้งสองขึ้นมาและสวมไปที่นิ้วนางของหญิงสาว” หลังจากนั้นปู่ก็ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
หลานชายถามต่อไปว่า “แล้วกล่องใบใหญ่ละครับ” ปู่หัวเราะและตอบว่า “ความจริงทั้งกล่องใบใหญ่และกล่องใบเล็กไม่ได้ต่างกัน ทั้งคู่เป็นเพียงจินตนาการ”
ทั้งคนที่ผิดหวังและสมหวังต่างก็ทำสิ่งดีดีเพื่อคนที่ตัวเองรัก แล้วทำไมเราจะต้องหยุดทำด้วยล่ะครับ...........
(เรื่องนี้ผมคิดเอง แต่ดัดแปลงจากบทละครญี่ปุ่นเรื่อง Always sunshine)
ภูมินทร์ บุตรอินทร์
ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน แลกเปลี่ยนมุมมองทางกฎหมาย ทัศนะคติส่วนตัวและเผยแพร่งานวิชาการ
Thursday, February 11, 2010
ชำเลืองใต้เงาโดม ตอนที่ ๓ – ความรักของแมลงเม่าและหิงห้อย
เนื่องจากใกล้วันตรุษและวันวาเลนไทน์ ตัวผมนั้นกำลังจะไปเมืองจีนในวันมะรืนนี้แล้ว แต่ผมก็บังเอิญได้ไอเดียเขียนเรื่องสั้นให้เป็นของขวัญสำหรับวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้สำหรับทุกๆคนครับ เรื่องนี้ผมได้ไอเดียจากทฤษฎีความขัดแย้ง (Dialectics) ของนักปรัชญาเยอรมันชื่อ Hegel โดยมีเนื้อเรื่องดังนี้ครับ
“คืนวันหนึ่งในเขตทะเลป่าชายเลน ลมพัดพร้าวไหวเย็นสบายพร้อมเสียงคลื่นเบาๆริมฝั่งทะเลเขตการประมงของชาวเล มองไปสุดสายตาเห็นแสงไฟริบหรี่ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากกองถ่านที่ไหม้เถ้าของเศษไม้โกงกาง เรื่องของความรักน้อยนิดเริ่มที่นี่และจบลงที่นี่
ก่อนหน้านี้ไม่นานนักคือจุดกำเนิดของเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและการอธิบายซึ่งกันและกันระหว่างแมลงเม่ากับหิงห้อย “ทำไมธรรมชาติแมลงเม่าจึงต้องบินเข้าในกองไฟและทำไมหิงห้อยจึงต้องกระพริบส่องแสง”
ในคืนก่อนหน้านั้นมีแมลงเม่าฝูงใหญ่บินผ่านต้นลำพูใหญ่อันเป็นที่รักที่หวงแหนยิ่งนักของกลุ่มชาวหิงห้อยกระพริบแสง ผ่านเพื่อไปสู่จุดหมาย หรือ ผ่านเพื่อไปสู่จุดจบ? กองไฟคือคำตอบหรืออย่างไร?
แมลงเม่าหนุ่มตัวหนึ่งพลั้งเผลอพลัดหลงทางจากฝูงของตนล่วงลงมาสู่ต้นลำพูใหญ่ ที่ซึ่งมีกลุ่มหิงห้อยกำลังสุขสันเหลือเกินกับการกินใบต้นลำพูใหญ่..................................
หิงห้อยผู้หวงแหนฯ ตะโกนถามแมลงเม่าหนุ่มว่า “เจ้าโง่ แกมาทำไมที่นี่ไม่ทราบ” แมลงเม่าหนุ่มตอบว่า “ข้าพลัดหลงจากฝูงที่กำลังบินไปยังกองไฟอันเกิดจากการเผาไม้โกงกาง เจ้ารู้หนทางไปสู่กองไฟรึไม่” กลุ่มหิงห้อยเหล่านั้นหัวเรอะร่าและพากันเย้ยหยันว่า “ดูก่อนพวกเรา เจ้าโง่นี่กำลังจะไปตายในไม่ช้า เพราะไม่สำเหนียกในความร้อนแรงของเปลวไฟ” แมลงเม่าตอบว่า “เปล่าเลย กองไฟอบอุ่น บางสิ่งที่ดูขมขื่นเช่นนั้น อาจอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจก็ได้ถ้าเข้าถึงอุดมคติแห่งความรัก” หิงห้อยเย้ยกลับว่า “เจ้านี่คงตาบอดเข้าแล้ว เวลามองเห็นแสงที่สว่างจ้าจากกองไฟ” แมลงเม่าหยุดคิดและตอบกลับไปอย่างช้าๆว่า “ข้าก็ไม่ได้ตาบอดนี่ ข้ายังมองเห็นพวกท่านกระพริบแสงอยู่เลยหลงเข้ามา เพียงแต่กองไฟทำให้ข้ามองเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ข้าตาสว่างไง”
“ถ้าเจ้าตาสว่างจริง เจ้าคงทำเหมือนเช่นที่พวกข้าทำ อยู่อย่างสุขสบายที่ต้นลำพูใหญ่นี้ คอยส่องแสงสวยงามให้ผู้คนได้เห็น” หิงห้อยตอบ
แมลงเม่ายิ้ม ก่อนทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนจากไปว่า “ท่านทั้งหลายคงยังแยกไม่ออกจริงๆ ระหว่างคำว่า”รัก” และ “การครอบครอง”(ต้นลำพูและอื่นๆ) “ตัวข้านั้นมีความรักต่อกองไฟ แสงไฟ แต่ข้าไม่ได้ต้องการไปครอบครอง หวนแหน กีดกันเหมือนอย่างพวกท่านเลย ข้าใช้เพียงอย่างเดียวก็คือสัญชาติญาณ.............. มันบอกให้ข้ารู้เพียงว่า ข้ารักแสงไฟอันอบอุ่นนั้นด้วยสัญชาติญาณบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีกับตัวข้า ความร้อนของไฟทำให้ข้าปีกหลุด ทำให้ข้าได้พบกับคนที่ข้ารักและการเกิดใหม่”
.....................................................ใครจะรู้ว่าแมลงเม่าพูดถูก ตามธรรมชาติเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ การสลัดปีกของแมลงเม่าเกิดขึ้นจากความอบอุ่นของแรงไฟ ความจริงแมลงเม่าคือพญาปลวกที่ต้องการการเกิดใหม่(Reborn) เชื่อไหมว่าในช่วงฤดูหาคู่ ปลวกจะออกจากรังกลายสภาพเป็นแมลงเม่าเพียงเพื่อไปตามหาคู่ของมัน การเดินต่อตัวเป็นขบวนรถไฟที่เราเห็นก็คือการหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่กันและกันภายหลังจากที่ปีกหลุดไปแล้ว ในขณะที่ตัวด้วงอย่างหิงห้อยกำลังรอความตายภายในระยะเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ตามอายุขัยของมันภายหลังจากที่เปล่งแสงเต็มที่
ตัวเราเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแมลงเม่าเลยครับเพราะบางครั้งเราเองก็ใช้สัญชาติญาณเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างที่อยู่เหนือเหตุและผล ด้วยข้อจำกัดของภาษาเราไม่อาจอธิบายบางอย่างออกมาได้ เราไม่อาจอธิบายเหตุผลตามสัญชาติญาณได้ด้วยการเอ่ยปาก อักษร ๔๔ ตัวคงน้อยเกินไป
เมื่อคุณเกิดรักใครสักคนที่มีความเป็นไปได้ยากด้วยเหตุผลต่างๆนานาเรามักจะอธิบายด้วยคำว่า “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” แต่ใครจะรู้ว่า แมลงเม่าก็มีเหตุผลของตัวเองตามสัญชาติญาณของการหาคู่และสานต่อ ตัวเราเองก็เช่นกัน ถ้าเรารักใครสักคนที่แม้เราไม่เคยเผชิญหน้าด้วยเลยสักครั้ง ถ้าเราจะบอกว่า “เรา.......ใช้สัญชาติญาณตามธรรมชาติเพื่อจะอธิบายว่าคนที่เราแอบมองอยู่นั้นเป็นคนที่อบอุ่นแสนดี บางทีคนๆนั้นอาจมีบางอย่างที่เราคงต้อง......ปีกหลุด....เพื่อการเกิดใหม่.......................แต่ไม่ใช่เพื่อการครอบครองและหวงแหนไว้คนเดียว
บางที สัญชาติญาณบอกให้รู้ว่าเรากำลังจะรักใคร..........................................................โดยที่ภาษา กริยา เหตุผลกำลังตาบอดและหูหนวก
การอธิบายบทละครด้วยทฤษฎีความขัดแย้ง
ตามที่นักปรัชญากรีกนิยมใช้กันนั้น Dialectics เป็นกระบวนการค้นหาสัจจะเชิงอภิปรายให้เหตุให้ผล วิธีการนี้ นักตรรกวิทยาสมัยปัจจุบัน เรียกกันว่า “แนวปฏิปักขนัย” (The Contradictory) เช่นบางคนอาจตั้งสมมติฐานขึ้นเป็นข้อยืนยันเกี่ยวกับ “ความเป็นธรรม” ว่ามีความหมายอันเดียวกันกับการพูดความจริงและความซื่อสัตย์ ประเด็นนี้เรียกว่า “ตัวยืน” (Thesis) ขั้นต่อไป คือพยายามหาเหตุผลตรงข้าม หรือขัดแย้งกับตัวยืนยันดังกล่าว ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรม แต่ไม่เกี่ยวกับการพูดความจริง และความซื่อสัตย์เลย เช่นการกระทำใด ๆ ที่ให้เกิดความสมใจทั้งสองฝ่าย เช่นนี้ เป็นต้น ประเด็นนี้ให้ชื่อว่า “ตัวแย้ง” (Antithesis) การประนีประนอม หรือการสังเคราะห์ฝ่ายที่เป็นตัวยืนกับฝ่ายที่เป็นตัวแย้งเข้าด้วยกันให้ชื่อว่า “ตัวสังเคราะห์หรือตัวยุติ” (Synthesis) ความก็จะเป็นว่า “ความยุติธรรม คือการพูดความจริงและความซื่อสัตย์ที่ให้เกิดความสมใจทั้งสองฝ่าย” ประเด็นที่สามนี้ดีกว่าและถูกต้องกว่าสองประเด็นแรกที่ขัดแย้งกันนั้น ด้วยอาศัยการลำดับช่วงความคิดเป็นทอด ๆ เช่นนี้ ช่วยให้เราได้เข้าถึงความหมายที่ถูกต้องของเรื่องนั้น ๆ
ต่อมาได้มีนักปรัชญารุ่นหลังหลายคน นำเอาสูตรนี้มาปรับปรุงใช้ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเรื่องนี้ คือนักปรัชญาเยอรมันชื่อ Hegel เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์สังคมมนุษย์ เฮเกลได้ชี้ใช้เห็นว่า สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงขยายตัวมันเองอย่างไม่หยุดยั้ง การพัฒนานี้เป็นไปทีละขั้น ทุกขั้นทุกระดับมีการสืบเนื่องต่อกันเป็นช่วง ๆ การขยายตัวในขั้นตอนใหม่ย่อมมีรูปแบบ ปริมาณ คุณภาพ และคุณสมบัติดีกว่า ประเสริฐกว่าขั้นที่เกิดขึ้นก่อนเสมอ วิวัฒนาการดังกล่าวมิได้เป็นไปในทำนองสักแต่ว่าเป็นกระบวนความเจริญเติบโตคลี่คลายธรรมดา ๆ เท่านั้น หากเป็นไปโดยอาศัยมูลเหตุ คือ “ความขัดแย้ง” ซึ่งมีในตัวสิ่งนั้น ๆ อยู่แล้ว ในเรื่องสังคมและชีวิตมนุษย์ก็มีนัยเช่นเดียวกัน กล่าวคือได้มีการคลี่คลายขยายตัวกันมาเป็นขั้น ๆ ทั้งนี้เพราะมีพลังสองประเภทกระทำการขัดแย้งต่อต้านกันและกันอยู่เนืองนิตย์ (Opposed forces) ทำให้สังคมและชีวิตมนุษย์พัฒนาระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง
ตามสูตรนี้ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ถูกต้อง ดี เลว ไปทุกอย่าง และจีรังยั่งยืนตลอดไป สรรพสิ่งอยู่ในสภาพไหลเลื่อนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะสรรพสิ่งมีพลังบวกกับพลังลบ หรือเรียกอีกอย่างคือ พลังสร้างสรรค์กับพลังทำลายอยู่ในตัว ดูเปรียบเทียบชีวิตเราที่เจริญเติบโตมาเรื่อย ๆ เป็นเพราะในตัวเรามีทั้งการทำลายและการสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ความคิดความอ่านและความเชื่อถือก็เหมือนกัน ย่อมมีการปรับตัวและแปรสภาพอยู่เสมอ มิใช่มีอยู่อย่างไรก็อย่างนั้นเป็นนิรันดร
ทั้งนี้เพราะมีการขัดแย้งกันอย่างไม่หยุดยั้งระหว่างของเก่ากับของใหม่ ครั้นแล้วจากการขัดแย้งกันนั้น จึงจะบังเกิดสิ่งที่สามขึ้นมา โดยการประสมกลมกลืนสิ่งทั้งสองเบื้องต้นที่ขัดแย้งกันนั้นเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งที่สามนี้มีสถานภาพดีกว่าและเหนือกว่าสิ่งทั้งสองที่ขัดแย้งกัน ไม่ช้าไม่นานสิ่งที่สามก็จะกลายเป็นตัวยืน และภายในตัวยืนนี้ก็จะเกิดพลังตรงข้ามก่อความขัดแย้งขึ้นอีก กระบวนการเป็นไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
สังคมย่อมมีวิวัฒนาการไปตามสูตรนี้ ทุกขั้นตอนของวิวัฒนาการย่อมมีความขัดแย้งภายในสังคมนั้น ๆ อันเป็นตัวการให้สังคมนั้นเจริญก้าวหน้า พลังขัดแย้งต่อสู้กันเป็นสภาวะประจำธรรมชาติของสรรพสิ่ง เมื่อกาลเวลาและพฤติการณ์บรรลุถึงขีดอันควรแล้ว พลังดังกล่าวก็จักทวีความขัดแย้งต่อต้านขึ้นเป็นลำดับจนถึงขั้นแตกหัก จากนั้นก็จะเกิดระบบสังคมใหม่ขึ้น ซึ่งอยู่ในระดับสมดุลเหนือระดับเดิมทั้งสองที่ต่อสู้ล้างผลาญกัน เศษเหลือเดนบางส่วนจะสลายตัวไป บางส่วนที่ดีจะถูกกลืนเข้าไปในของใหม่ ด้วยประการฉะนี้ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของสังคมมนุษย์ ย่อมดำเนินไปจากขั้นต่ำและหยาบ ๆ จนบรรลุถึงขั้นสูงและละเอียดซับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะไปถึงขั้นที่สุดท้ายของกระบวนวิวัฒนาการ
ตามทัศนะของเฮเกล สูตรความขัดแย้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ และสรรพสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติย่อมเป็นไปตามนั้น เราสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของโลกตามบันทึกประวัติศาสตร์ได้ถูกต้องถ่องแท้ ก็ด้วยการสังเกตดูความเจริญเติบโตของประชาชาติทั้งหลาย (The Nations) ในแง่ที่เป็นไปตามสูตรความขัดแย้ง อารยธรรมของมนุษย์ชาติหนึ่ง ๆ เมื่อขยายเติบโตขึ้น ย่อมเป็นเหตุให้ชาติอื่น ๆ เป็นคู่อริขึ้น ในที่สุดก็จะเกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาติเหล่านั้น เมื่อการต่อสู้ล้มล้างกันถึงที่สุดอารยธรรมใหม่จะเกิดขึ้นมาแทน โดยเลือกเฟ้นเอาแต่คุณค่าส่วนดีที่สุดจากอารยธรรมเดิมทั้งสองนั้นมาปรุงเข้าด้วยกัน
กระบวนวิวัฒนาการเช่นนี้ จะนำพาอารยธรรมมนุษย์ดำเนินไปสู่ความสมบูรณ์ที่เรียกกันว่า “สารัตถะสูงสุดของชีวิต” (The Spirit) รัฐทุกรัฐก็จะหล่อหลอมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “ความคิดสมบูรณ์แบบ” (The Absolute Idea)
แนวคิดเกี่ยวกับสูตรความขัดแย้ง ได้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อคาร์ล มากซ์ โดยได้เลียนแบบสูตรดังกล่าวนี้มาอรรถาธิบายกระบวนวิวัฒนาการของสังคม การเมือง และเศรษฐกิจระบบต่าง ๆ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในเชิงวัตถุนิยม พลังใหญ่ที่สุดที่ผลักดันให้กระบวนวิวัฒนาการนี้เป็นไป ได้แก่พลังความขัดแย้ง เกี่ยวกับวัตถุเครื่องยังชีพหรือเศรษฐปัจจัย ในกระบวนการผลิตของรัฐระบบนั้น ๆ กระบวนวิวัฒนาการนี้แต่ละช่วงแต่ละระดับจะมี 3 ตัว ประกอบ (Factors) คือ:-
1. ตัวยืน (Thesis)
2. ตัวแย้ง (Antithesis)
3. ตัวยุติ (Synthesis)
1. ตัวยืน หมายถึง ความจริง เหตุผล ความเชื่อ ค่านิยม ระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา อันเป็นแนววิถีชีวิตแบบเก่า ซึ่งถือเป็นตัวยืน(ชั่วขณะหนึ่ง) ในทีนี้เราใช้ T แทน ค่าตัวยืน
2. ตัวแย้ง หมายถึง ความจริง เหตุผล ฯลฯ ประเภทที่สอง ซึ่งถือกำเนิดออกมาจาก T แต่มีสภาพขัดแย้งกับ T กล่าวคือ เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ความจริง ฯลฯ แบบที่สองเกิดขึ้นมา แม้มีรากเหง้ามาจาก T แต่ได้กลายเป็นพลังขัดแย้งกับ T ในที่นี้ใช้ A แทน ค่าตัวแย้ง
3. ตัวยุติ หมายถึง ความจริงฯลฯ ที่สามเกิดจากผลกระทบขัดแย้งแล้วผสมผสานหล่อหลอม ส่วนที่เหลือเข้าด้วยกันระหว่าง T กับ A ความจริง ฯลฯ ประเภทที่สามย่อมดีกว่า ถูกต้องกว่า ความจริง ฯลฯ สองประเภทแรกที่สลายตัวไป ในที่นี้เราใช้ S แทน ค่าตัวยุติ
“คืนวันหนึ่งในเขตทะเลป่าชายเลน ลมพัดพร้าวไหวเย็นสบายพร้อมเสียงคลื่นเบาๆริมฝั่งทะเลเขตการประมงของชาวเล มองไปสุดสายตาเห็นแสงไฟริบหรี่ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากกองถ่านที่ไหม้เถ้าของเศษไม้โกงกาง เรื่องของความรักน้อยนิดเริ่มที่นี่และจบลงที่นี่
ก่อนหน้านี้ไม่นานนักคือจุดกำเนิดของเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและการอธิบายซึ่งกันและกันระหว่างแมลงเม่ากับหิงห้อย “ทำไมธรรมชาติแมลงเม่าจึงต้องบินเข้าในกองไฟและทำไมหิงห้อยจึงต้องกระพริบส่องแสง”
ในคืนก่อนหน้านั้นมีแมลงเม่าฝูงใหญ่บินผ่านต้นลำพูใหญ่อันเป็นที่รักที่หวงแหนยิ่งนักของกลุ่มชาวหิงห้อยกระพริบแสง ผ่านเพื่อไปสู่จุดหมาย หรือ ผ่านเพื่อไปสู่จุดจบ? กองไฟคือคำตอบหรืออย่างไร?
แมลงเม่าหนุ่มตัวหนึ่งพลั้งเผลอพลัดหลงทางจากฝูงของตนล่วงลงมาสู่ต้นลำพูใหญ่ ที่ซึ่งมีกลุ่มหิงห้อยกำลังสุขสันเหลือเกินกับการกินใบต้นลำพูใหญ่..................................
หิงห้อยผู้หวงแหนฯ ตะโกนถามแมลงเม่าหนุ่มว่า “เจ้าโง่ แกมาทำไมที่นี่ไม่ทราบ” แมลงเม่าหนุ่มตอบว่า “ข้าพลัดหลงจากฝูงที่กำลังบินไปยังกองไฟอันเกิดจากการเผาไม้โกงกาง เจ้ารู้หนทางไปสู่กองไฟรึไม่” กลุ่มหิงห้อยเหล่านั้นหัวเรอะร่าและพากันเย้ยหยันว่า “ดูก่อนพวกเรา เจ้าโง่นี่กำลังจะไปตายในไม่ช้า เพราะไม่สำเหนียกในความร้อนแรงของเปลวไฟ” แมลงเม่าตอบว่า “เปล่าเลย กองไฟอบอุ่น บางสิ่งที่ดูขมขื่นเช่นนั้น อาจอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจก็ได้ถ้าเข้าถึงอุดมคติแห่งความรัก” หิงห้อยเย้ยกลับว่า “เจ้านี่คงตาบอดเข้าแล้ว เวลามองเห็นแสงที่สว่างจ้าจากกองไฟ” แมลงเม่าหยุดคิดและตอบกลับไปอย่างช้าๆว่า “ข้าก็ไม่ได้ตาบอดนี่ ข้ายังมองเห็นพวกท่านกระพริบแสงอยู่เลยหลงเข้ามา เพียงแต่กองไฟทำให้ข้ามองเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ข้าตาสว่างไง”
“ถ้าเจ้าตาสว่างจริง เจ้าคงทำเหมือนเช่นที่พวกข้าทำ อยู่อย่างสุขสบายที่ต้นลำพูใหญ่นี้ คอยส่องแสงสวยงามให้ผู้คนได้เห็น” หิงห้อยตอบ
แมลงเม่ายิ้ม ก่อนทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนจากไปว่า “ท่านทั้งหลายคงยังแยกไม่ออกจริงๆ ระหว่างคำว่า”รัก” และ “การครอบครอง”(ต้นลำพูและอื่นๆ) “ตัวข้านั้นมีความรักต่อกองไฟ แสงไฟ แต่ข้าไม่ได้ต้องการไปครอบครอง หวนแหน กีดกันเหมือนอย่างพวกท่านเลย ข้าใช้เพียงอย่างเดียวก็คือสัญชาติญาณ.............. มันบอกให้ข้ารู้เพียงว่า ข้ารักแสงไฟอันอบอุ่นนั้นด้วยสัญชาติญาณบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีกับตัวข้า ความร้อนของไฟทำให้ข้าปีกหลุด ทำให้ข้าได้พบกับคนที่ข้ารักและการเกิดใหม่”
.....................................................ใครจะรู้ว่าแมลงเม่าพูดถูก ตามธรรมชาติเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ การสลัดปีกของแมลงเม่าเกิดขึ้นจากความอบอุ่นของแรงไฟ ความจริงแมลงเม่าคือพญาปลวกที่ต้องการการเกิดใหม่(Reborn) เชื่อไหมว่าในช่วงฤดูหาคู่ ปลวกจะออกจากรังกลายสภาพเป็นแมลงเม่าเพียงเพื่อไปตามหาคู่ของมัน การเดินต่อตัวเป็นขบวนรถไฟที่เราเห็นก็คือการหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่กันและกันภายหลังจากที่ปีกหลุดไปแล้ว ในขณะที่ตัวด้วงอย่างหิงห้อยกำลังรอความตายภายในระยะเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ตามอายุขัยของมันภายหลังจากที่เปล่งแสงเต็มที่
ตัวเราเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแมลงเม่าเลยครับเพราะบางครั้งเราเองก็ใช้สัญชาติญาณเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างที่อยู่เหนือเหตุและผล ด้วยข้อจำกัดของภาษาเราไม่อาจอธิบายบางอย่างออกมาได้ เราไม่อาจอธิบายเหตุผลตามสัญชาติญาณได้ด้วยการเอ่ยปาก อักษร ๔๔ ตัวคงน้อยเกินไป
เมื่อคุณเกิดรักใครสักคนที่มีความเป็นไปได้ยากด้วยเหตุผลต่างๆนานาเรามักจะอธิบายด้วยคำว่า “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” แต่ใครจะรู้ว่า แมลงเม่าก็มีเหตุผลของตัวเองตามสัญชาติญาณของการหาคู่และสานต่อ ตัวเราเองก็เช่นกัน ถ้าเรารักใครสักคนที่แม้เราไม่เคยเผชิญหน้าด้วยเลยสักครั้ง ถ้าเราจะบอกว่า “เรา.......ใช้สัญชาติญาณตามธรรมชาติเพื่อจะอธิบายว่าคนที่เราแอบมองอยู่นั้นเป็นคนที่อบอุ่นแสนดี บางทีคนๆนั้นอาจมีบางอย่างที่เราคงต้อง......ปีกหลุด....เพื่อการเกิดใหม่.......................แต่ไม่ใช่เพื่อการครอบครองและหวงแหนไว้คนเดียว
บางที สัญชาติญาณบอกให้รู้ว่าเรากำลังจะรักใคร..........................................................โดยที่ภาษา กริยา เหตุผลกำลังตาบอดและหูหนวก
การอธิบายบทละครด้วยทฤษฎีความขัดแย้ง
ตามที่นักปรัชญากรีกนิยมใช้กันนั้น Dialectics เป็นกระบวนการค้นหาสัจจะเชิงอภิปรายให้เหตุให้ผล วิธีการนี้ นักตรรกวิทยาสมัยปัจจุบัน เรียกกันว่า “แนวปฏิปักขนัย” (The Contradictory) เช่นบางคนอาจตั้งสมมติฐานขึ้นเป็นข้อยืนยันเกี่ยวกับ “ความเป็นธรรม” ว่ามีความหมายอันเดียวกันกับการพูดความจริงและความซื่อสัตย์ ประเด็นนี้เรียกว่า “ตัวยืน” (Thesis) ขั้นต่อไป คือพยายามหาเหตุผลตรงข้าม หรือขัดแย้งกับตัวยืนยันดังกล่าว ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรม แต่ไม่เกี่ยวกับการพูดความจริง และความซื่อสัตย์เลย เช่นการกระทำใด ๆ ที่ให้เกิดความสมใจทั้งสองฝ่าย เช่นนี้ เป็นต้น ประเด็นนี้ให้ชื่อว่า “ตัวแย้ง” (Antithesis) การประนีประนอม หรือการสังเคราะห์ฝ่ายที่เป็นตัวยืนกับฝ่ายที่เป็นตัวแย้งเข้าด้วยกันให้ชื่อว่า “ตัวสังเคราะห์หรือตัวยุติ” (Synthesis) ความก็จะเป็นว่า “ความยุติธรรม คือการพูดความจริงและความซื่อสัตย์ที่ให้เกิดความสมใจทั้งสองฝ่าย” ประเด็นที่สามนี้ดีกว่าและถูกต้องกว่าสองประเด็นแรกที่ขัดแย้งกันนั้น ด้วยอาศัยการลำดับช่วงความคิดเป็นทอด ๆ เช่นนี้ ช่วยให้เราได้เข้าถึงความหมายที่ถูกต้องของเรื่องนั้น ๆ
ต่อมาได้มีนักปรัชญารุ่นหลังหลายคน นำเอาสูตรนี้มาปรับปรุงใช้ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเรื่องนี้ คือนักปรัชญาเยอรมันชื่อ Hegel เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์สังคมมนุษย์ เฮเกลได้ชี้ใช้เห็นว่า สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงขยายตัวมันเองอย่างไม่หยุดยั้ง การพัฒนานี้เป็นไปทีละขั้น ทุกขั้นทุกระดับมีการสืบเนื่องต่อกันเป็นช่วง ๆ การขยายตัวในขั้นตอนใหม่ย่อมมีรูปแบบ ปริมาณ คุณภาพ และคุณสมบัติดีกว่า ประเสริฐกว่าขั้นที่เกิดขึ้นก่อนเสมอ วิวัฒนาการดังกล่าวมิได้เป็นไปในทำนองสักแต่ว่าเป็นกระบวนความเจริญเติบโตคลี่คลายธรรมดา ๆ เท่านั้น หากเป็นไปโดยอาศัยมูลเหตุ คือ “ความขัดแย้ง” ซึ่งมีในตัวสิ่งนั้น ๆ อยู่แล้ว ในเรื่องสังคมและชีวิตมนุษย์ก็มีนัยเช่นเดียวกัน กล่าวคือได้มีการคลี่คลายขยายตัวกันมาเป็นขั้น ๆ ทั้งนี้เพราะมีพลังสองประเภทกระทำการขัดแย้งต่อต้านกันและกันอยู่เนืองนิตย์ (Opposed forces) ทำให้สังคมและชีวิตมนุษย์พัฒนาระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง
ตามสูตรนี้ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ถูกต้อง ดี เลว ไปทุกอย่าง และจีรังยั่งยืนตลอดไป สรรพสิ่งอยู่ในสภาพไหลเลื่อนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะสรรพสิ่งมีพลังบวกกับพลังลบ หรือเรียกอีกอย่างคือ พลังสร้างสรรค์กับพลังทำลายอยู่ในตัว ดูเปรียบเทียบชีวิตเราที่เจริญเติบโตมาเรื่อย ๆ เป็นเพราะในตัวเรามีทั้งการทำลายและการสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ความคิดความอ่านและความเชื่อถือก็เหมือนกัน ย่อมมีการปรับตัวและแปรสภาพอยู่เสมอ มิใช่มีอยู่อย่างไรก็อย่างนั้นเป็นนิรันดร
ทั้งนี้เพราะมีการขัดแย้งกันอย่างไม่หยุดยั้งระหว่างของเก่ากับของใหม่ ครั้นแล้วจากการขัดแย้งกันนั้น จึงจะบังเกิดสิ่งที่สามขึ้นมา โดยการประสมกลมกลืนสิ่งทั้งสองเบื้องต้นที่ขัดแย้งกันนั้นเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งที่สามนี้มีสถานภาพดีกว่าและเหนือกว่าสิ่งทั้งสองที่ขัดแย้งกัน ไม่ช้าไม่นานสิ่งที่สามก็จะกลายเป็นตัวยืน และภายในตัวยืนนี้ก็จะเกิดพลังตรงข้ามก่อความขัดแย้งขึ้นอีก กระบวนการเป็นไปเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
สังคมย่อมมีวิวัฒนาการไปตามสูตรนี้ ทุกขั้นตอนของวิวัฒนาการย่อมมีความขัดแย้งภายในสังคมนั้น ๆ อันเป็นตัวการให้สังคมนั้นเจริญก้าวหน้า พลังขัดแย้งต่อสู้กันเป็นสภาวะประจำธรรมชาติของสรรพสิ่ง เมื่อกาลเวลาและพฤติการณ์บรรลุถึงขีดอันควรแล้ว พลังดังกล่าวก็จักทวีความขัดแย้งต่อต้านขึ้นเป็นลำดับจนถึงขั้นแตกหัก จากนั้นก็จะเกิดระบบสังคมใหม่ขึ้น ซึ่งอยู่ในระดับสมดุลเหนือระดับเดิมทั้งสองที่ต่อสู้ล้างผลาญกัน เศษเหลือเดนบางส่วนจะสลายตัวไป บางส่วนที่ดีจะถูกกลืนเข้าไปในของใหม่ ด้วยประการฉะนี้ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของสังคมมนุษย์ ย่อมดำเนินไปจากขั้นต่ำและหยาบ ๆ จนบรรลุถึงขั้นสูงและละเอียดซับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะไปถึงขั้นที่สุดท้ายของกระบวนวิวัฒนาการ
ตามทัศนะของเฮเกล สูตรความขัดแย้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ และสรรพสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติย่อมเป็นไปตามนั้น เราสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของโลกตามบันทึกประวัติศาสตร์ได้ถูกต้องถ่องแท้ ก็ด้วยการสังเกตดูความเจริญเติบโตของประชาชาติทั้งหลาย (The Nations) ในแง่ที่เป็นไปตามสูตรความขัดแย้ง อารยธรรมของมนุษย์ชาติหนึ่ง ๆ เมื่อขยายเติบโตขึ้น ย่อมเป็นเหตุให้ชาติอื่น ๆ เป็นคู่อริขึ้น ในที่สุดก็จะเกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาติเหล่านั้น เมื่อการต่อสู้ล้มล้างกันถึงที่สุดอารยธรรมใหม่จะเกิดขึ้นมาแทน โดยเลือกเฟ้นเอาแต่คุณค่าส่วนดีที่สุดจากอารยธรรมเดิมทั้งสองนั้นมาปรุงเข้าด้วยกัน
กระบวนวิวัฒนาการเช่นนี้ จะนำพาอารยธรรมมนุษย์ดำเนินไปสู่ความสมบูรณ์ที่เรียกกันว่า “สารัตถะสูงสุดของชีวิต” (The Spirit) รัฐทุกรัฐก็จะหล่อหลอมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “ความคิดสมบูรณ์แบบ” (The Absolute Idea)
แนวคิดเกี่ยวกับสูตรความขัดแย้ง ได้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อคาร์ล มากซ์ โดยได้เลียนแบบสูตรดังกล่าวนี้มาอรรถาธิบายกระบวนวิวัฒนาการของสังคม การเมือง และเศรษฐกิจระบบต่าง ๆ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในเชิงวัตถุนิยม พลังใหญ่ที่สุดที่ผลักดันให้กระบวนวิวัฒนาการนี้เป็นไป ได้แก่พลังความขัดแย้ง เกี่ยวกับวัตถุเครื่องยังชีพหรือเศรษฐปัจจัย ในกระบวนการผลิตของรัฐระบบนั้น ๆ กระบวนวิวัฒนาการนี้แต่ละช่วงแต่ละระดับจะมี 3 ตัว ประกอบ (Factors) คือ:-
1. ตัวยืน (Thesis)
2. ตัวแย้ง (Antithesis)
3. ตัวยุติ (Synthesis)
1. ตัวยืน หมายถึง ความจริง เหตุผล ความเชื่อ ค่านิยม ระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา อันเป็นแนววิถีชีวิตแบบเก่า ซึ่งถือเป็นตัวยืน(ชั่วขณะหนึ่ง) ในทีนี้เราใช้ T แทน ค่าตัวยืน
2. ตัวแย้ง หมายถึง ความจริง เหตุผล ฯลฯ ประเภทที่สอง ซึ่งถือกำเนิดออกมาจาก T แต่มีสภาพขัดแย้งกับ T กล่าวคือ เมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ความจริง ฯลฯ แบบที่สองเกิดขึ้นมา แม้มีรากเหง้ามาจาก T แต่ได้กลายเป็นพลังขัดแย้งกับ T ในที่นี้ใช้ A แทน ค่าตัวแย้ง
3. ตัวยุติ หมายถึง ความจริงฯลฯ ที่สามเกิดจากผลกระทบขัดแย้งแล้วผสมผสานหล่อหลอม ส่วนที่เหลือเข้าด้วยกันระหว่าง T กับ A ความจริง ฯลฯ ประเภทที่สามย่อมดีกว่า ถูกต้องกว่า ความจริง ฯลฯ สองประเภทแรกที่สลายตัวไป ในที่นี้เราใช้ S แทน ค่าตัวยุติ
Thursday, February 4, 2010
ขอขอบคุณผู้ช่วยงานหนังสือปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
วันนี้ผมต้องขอประกาศในบล้อกเพื่อขอบคุณนักศึกษาท่านหนึ่งที่อาสามาช่วยงานผมครับ นั่นคือ กนกวรรณ หรือ เนียนที่เรียนปี 1 คณะสหวิทยาการครับ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือนี้ หนังสือคงไม่เสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งคนที่สามารถอ่านและพิมพ์หนังสือปรัชญาการเมืองของพ่อผมได้นี่ต้องเก่งไม่เบาเลยครับ เพราะภาษายากมากเลยทีเดียว (ซึ่งยังไม่รวมตัวเนื้อหาด้วยแล้ว)
ผมต้องประกาศให้ทุกๆคนได้รู้ถึงความมีนำใจของเพื่อนเราคนนี้นะครับ
อ ภูมินทร์ บุตรอินทร์
ผมต้องประกาศให้ทุกๆคนได้รู้ถึงความมีนำใจของเพื่อนเราคนนี้นะครับ
อ ภูมินทร์ บุตรอินทร์
Monday, February 1, 2010
เรื่องเล่าจากเด็กวัด- วาทะกรรมของคนรากหญ้า
“อาจารย์ครับๆ เข้าใจ๋ที่ผมเว้าบ่อ ผมเฮียนมาน้อยกลัวพูดไปอาจารย์บ่ฮู้” เสียงทักของพี่จ่อยยังสะกิดใจผมเสมอมา
สามปีที่ผมเคยอยู่วัดมานี้ทำให้ผมต้องล้างทฤษฏีเดิมๆ ทิ้งให้หมด ผมต้องละทิ้งและชำระอัตตาที่ติดตัวมาไปจนสิ้น ผมได้พบเจอ เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ร่วมทุกร่วมสุขกับชีวิตอีกหลายมุมที่อยู่แทบจะคนละขั้วของชีวิตเลยก็ว่าได้
สามปีที่ผ่านมานี้ มีคนไทยจำนวนมากมายที่ดิ้นรนมาหางานทำที่ฝรั่งเศส บ้างก็โดนจับกลับ บ้างก็ถูกขัง บ้างก็นอนหนาวตาย บ้างยอมขายตัว และบางส่วนหมดหวัง สิ้นหวัง คนเหล่านี้เป็นครูของผมทั้งนั้น ถ้าคุณได้สัมผัสกับคนที่ถูกเรียกว่ารากหญ้า คุณจะรู้ว่า”รากหญ้านั้นอ่อนโยนและชุ่มชื้น” เพียงไร
ปีที่ผ่านมานี้ผมกลับมาที่วัดและพบว่ามีคนงานมาอาศัยวัดมากมายราวๆ หกเจ็ดคน ทุกคนมาเพราะถูกนายหน้าค้าแรงงานหลอกว่าจะมีงานทำโดยถูกต้องตามกฎหมายด้วยการจ่ายค่าหัวคนละสี่แสนบาท เงินมากถึงเพียงนี้ทำไมถึงยอมจ่าย คำตอบง่ายๆก็คือ อยู่ไปก็อดตาย ออกมาอาจรอดได้บ้าง ทุกคนต้องต่อเครื่องมาหลายประเทศแต่จบท้ายด้วยการนอนข้างถนน หรือ ในรถไฟใต้ดิน
คนแรกที่ต้องเล่าคือ พี่จ่อย ถึงชื่อจะจ่อยแต่ตัวจริงไม่จ่อยเลย กล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน ทำงานห่ามรุ่งหามค่ำทุกวัน ถ้าคุณสมมุติตัวเองว่าทำงานก่อสร้างกลางแจ้งสิบสี่ชั่วโมงในอุณหภูมิลบหกองศา คุณก็คงไม่เห็นภาพ คุณจะรู้สึกร่วมไม่ได้ด้วยการแค่คิดตามคำพูด แต่คุณต้องลงไปจับพลั่วที่หนาวเย็นราวกับจับก้อนน้ำแข็ง แบกหามน้ำหนักที่เท่าตัวคุณเป็นวันๆ
ครั้งแรกที่ผมเจอพี่จ่อยผมกลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกริยาท่าทางดุดัน เสียงกระโชกโฮกฮากราวกับจะตะคอกใส่เราเสมอ หน้าตาเคร่งขรึมไม่เป็นมิตร แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความดิบเหล่านี้คือความจริงใจครับ ถ้าคุณได้สัมผัส คุณจะรู้ว่าการที่เราไร้การศึกษานั้นสูงค่ากว่าคนมีการศึกษาเสียอีก เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้โดนห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งโสโครกอย่างอัตตา ความตอแหล และการแบ่งชนชั้น
พี่จ่อยเรียนจบแค่ ป หก แต่ได้ตระเวนไปแทบจะรอบโลก ไม่ว่าจะอิสราเอล ซาอุฯ ออสเตรเลย ญี่ปุ่น เกาหลี แต่มาจบลงที่คุกสวิสเซอแลนด์ อย่าถามนะครับว่าไปพลาดท่าอย่างไร ก็ด้วยความซื่อนี่แหละ พี่จ่อยเล่าว่าด้วยเหตุเพราะไปรักแหม่มสวิสที่พบกันในย่านจีนกลางเมืองปารีส เพราะสาวแหม่มเกิดไปติดใจความจริงใจที่แท้จริงและท่าเต้นชูวีดูวับผสมเซิ้งกระติ้บสุดเท่ของพี่จ่อย (ขนาดผมยังทึ่งในความเท่สุดๆ)
พี่จ่อยเล่าว่าหลังจากเจอแหม่มก็ได้ติดต่อผ่านทางจดหมาย ด้วยลายมือของเพื่อนชาวลาวและถ้อยทำนองการแปลภาษา ทำให้พี่จ่อยได้ส่งความอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ไปถึงสาวแหม่มเป็นระยะๆ ความรักไม่ขาดช่วง ความรู้สึกไม่มีพรหมแดนจริงๆครับ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะด้วยกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมันมีพรหมแดน……..
พี่จ่อยเริ่มหยุดยั้งความรู้สึกไม่อยู่ ตัดสินใจเดินทางไปสวิสเซอแลนด์ ด้วยรถโดยสารบ้าง เดินไปบ้าง โบกไปบ้าง ด้วยน้ำพักน้ำแรงที่เก็บออมมานั้นเอง ด้วยความซื่อที่หักห้ามหัวใจไม่ได้ ชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวคล้ำ บึกบึนเลือกที่จะไปตามหาหัวใจ แต่ด้วยความตรงไปตรงมา พี่จ่อยลืมนึกไปว่าตัวเองนั้นไม่มีพาสพอร์ตและวีซ่า เมื่อไปถึงด่านตรงคนเข้าเมือง ด้วยความที่จิตใจเร่งรีบและรอคอยจึงเดินตรงลี่ไปที่ด่านโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พี่จ่อยเล่าว่าตำรวจตกใจและวิ่งมาล๊อคตัวว่าเขาจะทำอะไรผิด ด้วยความตรงไปตรงมาพี่จ่อยพูดเป็นภาษาไทยอีสานแบบน้ำเสียงกระโชกก้าวร้าวกับตำรวจเพื่ออธิบายไปเฉยๆ ว่าจะไปหาแหม่มที่รัก ผลลัพธ์แห่งรักที่รอคอยคือไปอยู่คุกสวิสฯสองเดือนครับ ระหว่างนั้นความรู้สึกที่ร้อนรนก็ถูกละลายลง อ่อนตัวลงและเย็นลง
ทุกครั้งที่ผมถามไถ่เรื่องราวชีวิต พี่จ่อยจะพยายามพูดสุภาพราวกับว่าผมเป็นผู้ที่อยู่สูงกว่าเสมอและให้เกียรติผู้มีการศึกษาอย่างยิ่ง ประโยคหนึ่งที่ผมจะพูดกันเสมอก็คือ “เราก็คนเหมือนกัน สองตีนติดดิน อย่าทำให้มันมีชนชั้นอีกเลย” แต่สิ่งที่พี่จ่อยและคนอื่นๆ ตอบกลับมาเสมอก็คือ “ผมเฮียนมาน้อยกลัวพูดไปอาจารย์บ่ฮู้” คนเหล่านี้ให้เกียรติเราที่การศึกษาและคุณธรรม ไม่ใช่เพียงระดับของการศึกษาแต่เพราะเราได้ถ่ายทอดการศึกษาด้วย วาทะกรรมของรากหญ้าช่างยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์จริงๆ
สามปีที่ผมเคยอยู่วัดมานี้ทำให้ผมต้องล้างทฤษฏีเดิมๆ ทิ้งให้หมด ผมต้องละทิ้งและชำระอัตตาที่ติดตัวมาไปจนสิ้น ผมได้พบเจอ เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ร่วมทุกร่วมสุขกับชีวิตอีกหลายมุมที่อยู่แทบจะคนละขั้วของชีวิตเลยก็ว่าได้
สามปีที่ผ่านมานี้ มีคนไทยจำนวนมากมายที่ดิ้นรนมาหางานทำที่ฝรั่งเศส บ้างก็โดนจับกลับ บ้างก็ถูกขัง บ้างก็นอนหนาวตาย บ้างยอมขายตัว และบางส่วนหมดหวัง สิ้นหวัง คนเหล่านี้เป็นครูของผมทั้งนั้น ถ้าคุณได้สัมผัสกับคนที่ถูกเรียกว่ารากหญ้า คุณจะรู้ว่า”รากหญ้านั้นอ่อนโยนและชุ่มชื้น” เพียงไร
ปีที่ผ่านมานี้ผมกลับมาที่วัดและพบว่ามีคนงานมาอาศัยวัดมากมายราวๆ หกเจ็ดคน ทุกคนมาเพราะถูกนายหน้าค้าแรงงานหลอกว่าจะมีงานทำโดยถูกต้องตามกฎหมายด้วยการจ่ายค่าหัวคนละสี่แสนบาท เงินมากถึงเพียงนี้ทำไมถึงยอมจ่าย คำตอบง่ายๆก็คือ อยู่ไปก็อดตาย ออกมาอาจรอดได้บ้าง ทุกคนต้องต่อเครื่องมาหลายประเทศแต่จบท้ายด้วยการนอนข้างถนน หรือ ในรถไฟใต้ดิน
คนแรกที่ต้องเล่าคือ พี่จ่อย ถึงชื่อจะจ่อยแต่ตัวจริงไม่จ่อยเลย กล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน ทำงานห่ามรุ่งหามค่ำทุกวัน ถ้าคุณสมมุติตัวเองว่าทำงานก่อสร้างกลางแจ้งสิบสี่ชั่วโมงในอุณหภูมิลบหกองศา คุณก็คงไม่เห็นภาพ คุณจะรู้สึกร่วมไม่ได้ด้วยการแค่คิดตามคำพูด แต่คุณต้องลงไปจับพลั่วที่หนาวเย็นราวกับจับก้อนน้ำแข็ง แบกหามน้ำหนักที่เท่าตัวคุณเป็นวันๆ
ครั้งแรกที่ผมเจอพี่จ่อยผมกลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกริยาท่าทางดุดัน เสียงกระโชกโฮกฮากราวกับจะตะคอกใส่เราเสมอ หน้าตาเคร่งขรึมไม่เป็นมิตร แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความดิบเหล่านี้คือความจริงใจครับ ถ้าคุณได้สัมผัส คุณจะรู้ว่าการที่เราไร้การศึกษานั้นสูงค่ากว่าคนมีการศึกษาเสียอีก เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้โดนห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งโสโครกอย่างอัตตา ความตอแหล และการแบ่งชนชั้น
พี่จ่อยเรียนจบแค่ ป หก แต่ได้ตระเวนไปแทบจะรอบโลก ไม่ว่าจะอิสราเอล ซาอุฯ ออสเตรเลย ญี่ปุ่น เกาหลี แต่มาจบลงที่คุกสวิสเซอแลนด์ อย่าถามนะครับว่าไปพลาดท่าอย่างไร ก็ด้วยความซื่อนี่แหละ พี่จ่อยเล่าว่าด้วยเหตุเพราะไปรักแหม่มสวิสที่พบกันในย่านจีนกลางเมืองปารีส เพราะสาวแหม่มเกิดไปติดใจความจริงใจที่แท้จริงและท่าเต้นชูวีดูวับผสมเซิ้งกระติ้บสุดเท่ของพี่จ่อย (ขนาดผมยังทึ่งในความเท่สุดๆ)
พี่จ่อยเล่าว่าหลังจากเจอแหม่มก็ได้ติดต่อผ่านทางจดหมาย ด้วยลายมือของเพื่อนชาวลาวและถ้อยทำนองการแปลภาษา ทำให้พี่จ่อยได้ส่งความอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ไปถึงสาวแหม่มเป็นระยะๆ ความรักไม่ขาดช่วง ความรู้สึกไม่มีพรหมแดนจริงๆครับ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะด้วยกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมันมีพรหมแดน……..
พี่จ่อยเริ่มหยุดยั้งความรู้สึกไม่อยู่ ตัดสินใจเดินทางไปสวิสเซอแลนด์ ด้วยรถโดยสารบ้าง เดินไปบ้าง โบกไปบ้าง ด้วยน้ำพักน้ำแรงที่เก็บออมมานั้นเอง ด้วยความซื่อที่หักห้ามหัวใจไม่ได้ ชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวคล้ำ บึกบึนเลือกที่จะไปตามหาหัวใจ แต่ด้วยความตรงไปตรงมา พี่จ่อยลืมนึกไปว่าตัวเองนั้นไม่มีพาสพอร์ตและวีซ่า เมื่อไปถึงด่านตรงคนเข้าเมือง ด้วยความที่จิตใจเร่งรีบและรอคอยจึงเดินตรงลี่ไปที่ด่านโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พี่จ่อยเล่าว่าตำรวจตกใจและวิ่งมาล๊อคตัวว่าเขาจะทำอะไรผิด ด้วยความตรงไปตรงมาพี่จ่อยพูดเป็นภาษาไทยอีสานแบบน้ำเสียงกระโชกก้าวร้าวกับตำรวจเพื่ออธิบายไปเฉยๆ ว่าจะไปหาแหม่มที่รัก ผลลัพธ์แห่งรักที่รอคอยคือไปอยู่คุกสวิสฯสองเดือนครับ ระหว่างนั้นความรู้สึกที่ร้อนรนก็ถูกละลายลง อ่อนตัวลงและเย็นลง
ทุกครั้งที่ผมถามไถ่เรื่องราวชีวิต พี่จ่อยจะพยายามพูดสุภาพราวกับว่าผมเป็นผู้ที่อยู่สูงกว่าเสมอและให้เกียรติผู้มีการศึกษาอย่างยิ่ง ประโยคหนึ่งที่ผมจะพูดกันเสมอก็คือ “เราก็คนเหมือนกัน สองตีนติดดิน อย่าทำให้มันมีชนชั้นอีกเลย” แต่สิ่งที่พี่จ่อยและคนอื่นๆ ตอบกลับมาเสมอก็คือ “ผมเฮียนมาน้อยกลัวพูดไปอาจารย์บ่ฮู้” คนเหล่านี้ให้เกียรติเราที่การศึกษาและคุณธรรม ไม่ใช่เพียงระดับของการศึกษาแต่เพราะเราได้ถ่ายทอดการศึกษาด้วย วาทะกรรมของรากหญ้าช่างยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์จริงๆ
Subscribe to:
Posts (Atom)