Tuesday, December 26, 2006

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของปรีดี พนมยงค์



เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เข้าไปค้นงานที่มหาวิทยาลัยเป็นครั้งเป็นคราวเพราะอาจารย์ท่านรักผมเอามากเล่นนัดเจอกันแบบถี่ยิบตาเลย ผมได้มีโอกาสไปค้นงานที่ห้องสมุด Cujas ตรงข้ามกับมหาลัยของผม ที่นี่เป็นห้องสมุดที่เก็บวิทยานิพพนธ์ ปริญญาเอกตั้งแต่ยุคโบร่ำโบราณ เมื่อผมเข้าไปค้นงานคิดไว้นานแล้วว่าอยากเห็นผลงานของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ว่าท่านเขียนเรื่องอะไรไว้ เมื่อมีโอกาสจึงได้ทำการค้นและก้ได้ดังใจหวัง
วิทยานิพนธ์ของท่านชื่อว่า “DU SORT DES Sociétés de Personnes en cas de Décès d’un Associé “ซึ่งผมขอพูดตรงๆว่าผมไม่ทราบรายละเอียดดีเท่าไหร่ หลังจากนั้นผมจึงได้ไปค้นหาคำศัพท์ที่ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อนำไปค้นหาในพจนานุกรมศัพท์กฏหมาย
[1]แล้วก็พบว่าเป็นเรื่อง “ผลแห่งความตายของห้างหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งอันมีผลต่อห้างหุ้นส่วนสามัญ[2]” ผมมีความเห็นว่าในกฏหมายเรื่องหุ้นส่วนบริษัทตามประมวลกกหมายแพ่งของไทยที่จัดทำขึ้นคงไดรับอิทธิพลของท่านไปไม่มากไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนสามัญแต่ละคนนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล( Intuitus personae) เมื่อห้างหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตายต้องยกเลิกและชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนนั้นๆ[3] โดยหลักของกฏหมายโรมัน Ulpien อธิบายว่า “ Societas solvitur ex personis” หรือ ห้างสิ้นสุดลงเมื่อความตายของหุ้นส่วน
ในความเห็นส่วนตัว ตอนแรกผมนั่งครุ่นคิดว่าทำไมปรีดีทำเรื่องที่ดูแล้วไม่น่าจะซับซ้อนอะไรมากแต่เป็นการเขียนวิทยานิพนเชิงลึก แต่พอลองอนุมานและอ่านบางส่วนก็พบว่าไม่ธรรมดาเพราะว่าเมื่อเราย้อนกลับไปเมื่อแปดสิบปีก่อนการเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งภาษาที่ใช้เป็นภาษาเขียนที่ดี(ซึ่งแตกต่างจากงานเขียนยุคนี้มาก)
ในที่นี้ผมขอกล่าวแค่พอสังเขปว่า ในหน้าแรกปรีดีเริ่มต้นด้วยการเขียนสั้นๆว่า “วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นความเห็นของท่านเองโปรดใช้วิจารณญาณในการศึกษากันเอง” ส่วนหน้าปกทำให้ทราบว่าท่านสอบวิทยานิพนธ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ คศ. ๑๙๒๗ ซึ่งผมคิดว่าหลังจากท่านสอบผ่านคงไปฉลองวาเลนไทน์ต่อเป็นแน่(ล้อเล่นครับ) สมัยนั้นปรีดีใส่ชื่อของตนเองและกำกับว่าเป็นเนติบัณฑิตแห่งราชอาญาจักรสยาม
สิ่งที่ผมสนใจที่สุดในวิทยานิพนฉบับนี้คงจะเป็นบุคคลที่ท่านกล่าวคำนิยมและตัวอาจารย์ผู้ทำการควบคุมวิทยานิพนธ์ของท่าน อาจารย์ที่เป็นประธานในการสอบครั้งนี้ชื่อว่า Monsieur Percerou ส่วนอาจารย์ที่เป็นกรรมการชื่อว่า MM. Lévy-ULLMANN และ MM. Maurice PICARD
สิ่งที่ผมติดใจที่สุดคือบุคคลที่ปรีดีเขียนขอบคุณไว้ในวิทยานิพนธ์ คือ นอกจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์แล้วยังมีอีกคนคือ A.M. Eugène LAYDEKER ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากฏหมายของกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรสยามในขณะนั้น เมื่ออ่านงานเขียนบางส่วนของรัฐบุรุษของประเทศก็อดนึกถึงบ้านเราไม่ได้ ผมจำได้ว่าเมื่อหกปีก่อนตอนอยู่ที่ท่าพระจันทร์เด็กที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะรู้สึกภาคภูมิใจกับปรีดีมากโดยที่พวกเขาแทบไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำไปว่าคนผู้นี้ทำอะไรมาก่อน รู้แต่เพียงว่าน่าจะเป็นคนดีและเก่งของประเทศ บ้างก็เอาพวงมาลัยไปวาง บ้างก็จุดธูปจุดเทียนบูชา ผมว่าอีกไม่นานคงมีคนไปขูดขอหวยและบูชาเยี่ยงเทพเจ้าต่อไป นี่ละครับคนไทยเราสุดท้ายก็จะเหลือแต่รูปแบบแต่ละเนื้อหาไว้เบื้องหลังเสมอ
[1] Gérard Cornu, « Vocabulaire juridique », PUF 6 éd., 2004, P. 856
[2] หมายเหตุ คำแปลนี้ไม่ตรงกับนิยามของห้างหุ้นส่วนสามัญในกฏหมายไทยมาตรา ๑๐๒๕ จนถึง ๑๐๗๐ โดยคำนิยามตามพจนานุกรมที่ให้นิยามไว้ดังนี้ “ Société à laquelle chaque associé est réputé n’avoir consenti qu’en considération de la personne de ses coassociés et qui exige leur collaboration personnelle à la poursuite du but social d’où il résulte que la part sociale de chacun d’eux n’est transmis sable qu’en vertu d’une clause express “
[3] The Thai civil and commercial code Art. 1055 (5)

Wednesday, November 22, 2006

นิโคลา แมคคิลเวลลี่ :เมื่อข้าถูกประฌามว่าเป็นซาตาน

นิโคลา แมคคิลวิล
เมื่อข้าถูกประณามว่าเป็นซาตาน


เนื่องจากผู้เขียนได้ติดตามแนวความคิดทางปรัชญาแนวประจักษ์นิยมมาโดยตลอด และได้อ่านงานเขียนหลายชิ้นของ นิโคลา แมคคิลวาลี่ อาทิเช่น The Prince, Discours sur la premier Decade de Tite-Live ซึ่งน่าจะเป็น Discourse on the Levy, L’Art de la Guerre, ประวัติศาสตร์เมืองฟรอเร้น ฯลฯ ซึ่งภายหลังทำให้ผมเริ่มสนใจในแนวคิดของบุรุษผู้นี้ อนึ่ง บุรุษผู้นี้เองที่ถูกสังคมประฌามว่าเป็นซาตานที่แสนเจ้าเล่ย์ หรือ เรียกกันว่าลัทธิแมคคิลเวลลี่อันเลวร้ายไม่เว้นแม้แต่สังคมไทยที่มักจะอ้างกันในการเหน็บแนมใครบางคนที่มีพฤติกรรมอันแสนเลวร้ายโดยที่ไม่เคยมีใครค้นไปถึงรากเหง้าเลยว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไรไว้บ้างเพื่อสังคมของเรา
ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้ศึกษาปรัชญาของแมคคิลเวลลี่ซึ่งเคยมีผู้นำมาเขียนเปรียบเที่ยบกับ หานเฟยจื่อ นักปรัญญาจีนสำนักนิติธรรมนิยมในสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ และแนวคิดของผู้นี้เองที่ทำให้จิ๋นซีสามารถรวบรวมประเทศจีนให้เป็นหนึ่งเดียวจนถึงทุกวันนี้ได้ แนวความคิดของนักปรัญญาทั้งสองนี้มีหลายส่วนที่คล้ายกันมากในมุมมองของนักปกครอง ผู้เขียนคิดว่า จิ๋นซีฮ่องเต้คงเป็นรูปแบบที่เห็นกันได้ชัดเจน ส่วนในมุมมองของแมคคิลวิลก็เป็นอื่นไม่ได้นอกจาก ซีซ่า บอกเชีย นักปกครองในสมัยรอยต่อระหว่างยุคมืดและยุคเรเนซ้อง ส่วนของไทยนั้นลองพิเคราะกันเองตามหลักแบ่งแยกของ เดอะปริ้น
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงที่เวนิสกำลังรุ่งเรื่องจากตำราประวัติศาสตร์หลายเล่ม ก็พบว่าแมคคิลวิลเองเป็นผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ยุคมืดล่มสลายไปถึงแม้จะเป็นช่วงปลายแล้วก็ตาม คนส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าความจริงแล้ว ลีโอนาโด้ ดาวิลชี่และแมคคิลเวลลี่เป็นเพื่อนที่สนิทกันในช่วงเวลาที่ลีโอนาโด้ ดาวิลชี่เป็นวิศวะกรกองทัพให้แก่ ซีซ่า บอกเชีย และทั้งคู่ต่างก็เป็นพวกที่เรียกว่า “มนุษย์นิยม” หรือพวกที่เชื่อถือว่าความสามารถของมนุษย์อยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด หรือ เชื่อในสติปัญญาของมนุษย์เองมากกว่าอย่างอื่น เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ พวกที่เรียกว่า “มนุษย์นิยม”นี่เองที่เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาอันแท้จริงจนนำไปสู่การปฏิวัติยุคมืดที่เน้นเรื่องของศรัทธาเป็นแก่น
ก่อนอื่นต้องท้าวความว่าการรื้อฟื้นยุคแห่งสติปัญญา หรือ เรเนซ้อง นั้น ในความเห็นของผู้เขียนหน้าจะเริ่มมาจากการเฟื่องฟูทางการค้าของเวนิสและฟรอเร้น โดยเฉพาะฟรอเร้นเองเป็นศูนย์กลางทางการค้านำโดยตระกูล Medici โดยการนำของ Lorenzo แห่ง Medici ต้นกำเนิดของคำว่า Godfather ที่เราใช้กันทุกวันนี้ เนื่องจากตระกูล Medici(ภายหลังเราคงรู้จักกันดีว่าลูกหลานตระกูลนี้คือ แคทเธอรีน เดอ แมดิซี่ ซูสีไทเฮาแห่งราชสำนักฝรั่งเศสนั่นเองครับ) เป็นตระกูลนายธนาคารที่เป็นเบื้องหลังการกู้เงินไปทำสงครามและเรียกศรัทธาของวาติกันและพระผู้ใหญ่หลายๆรูปที่สำคัญต่อการเมืองในทุกยุค ลูกหลานแห่งตระกูลนี้ได้รับการปลูกฝังความคิดแบบมนุษย์นิยมโดยชอบศีกษาความรู้ของกรีกโบราณ ทุกครั้งที่เดินทางไปค้าขายทางตะวันออกไปตะวันตกก็จะได้รับความรู้ต่างๆด้วย แม้นในยุคหลังที่แมคคิลเวลี่มาร่วมงานด้วยก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดด้วย ในการกล่าวอ้างกันว่าแมคคิลวิลเป็นซาตานก็เนื่องมาจากว่าความคิดของเขาเป็นแนวประจักษ์นิยมที่ขัดต่อหลักศีลธรรมทางศาสนาอย่างสิ้นเชิง ทำไมแมคคิลวิลจึงนำเสนอเช่นนั้นหรือ? เนื่องจากการเมืองยุคนั้นอันเนื่องมาจากอำนาจแห่งศรัทธาของศาสนาจักรนำพาซึ่งความมืดบอดแห่งปัญญานั้นเอง บางครั้งการพูดตรงเกินไปถึงสันดานมนุษย์ก็เป็นดาบสองคมที่ทิ่มแทงตัวเขาเอง ถ้าตีความให้ดีแมคคิลวิลเองไม่ได้ต้องการนำเสนอว่า มนุษย์นั้นเลวร้าย แต่พยายามอธิบายว่า ความชั่วเกิดจากความจำเป็นนั่นเอง ในผลงานชิ้นเอกของเขา หรือที่เรารู้จักก็คือ เดอะปริ้น เจ้าชายผู้ต้องรักษาไว้ซึ่งอำนาจแม้จะต้องแลกด้วยเลือดและความโหดร้าย เนื่องจากผลงานอันนี้กระแทกสันดานดิบของมนุษย์เข้าอย่างจัง ทำให้ชีวิตของเขาต้องอับปางไปและถูกคนประฌามทั้งชีวิตว่าเป็นซาตาน แต่สิ่งที่ผู้เขียนฉงนคือ แมคคิลวิลคือซาตานหรือ คนที่ซื่อและพูดตรงเกินไป!!!!