Wednesday, January 6, 2010

You can do it because you believe you can!

You can do it because you believe you can!
คุณทำได้ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณจะทำให้ได้........



สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะครับ ผมเองก็พึ่งจะกลับมาจากบ้านไม่นานมานี้และได้เรื่องดีดีมาเล่าให้ฟังครับ ผมได้ไปทานข้าวกับศาสตราจารย์แพทย์หญิงคนหนึ่งมาครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยครับเป็นคนที่ผมนับถือเป็นพี่สาวแท้ๆ ที่น่าสังเกตก็คืออาจารย์หมอคนนี้เป็นคนพิการทางการเดินครับเนื่องจากเป็นปอลิโอแต่กำเนิดจึงไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปรกติ สมัยเด็กๆพี่สาวคนนี้มีชีวิตที่ลำบากมากครับและยังเกิดที่เมืองลาวด้วย สมัยที่เรียน ม ปลายนั้นเป็นคนขยันเรียนมากครับทั้งๆที่พิการ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้นจะเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ สมัยนั้นไม่ยินยอมให้คนพิการเรียนแพทย์ครับ ผมจำได้ว่าพี่สาวคนนี้อ้อนวอนมหาลัยอยู่นาน แต่มหาลัยก็ไม่สนองตอบใดๆ สุดท้ายเรื่องก็เข้าหูอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทราบเรื่องจากพี่สาวของเด็กสาวคนนี้ จึงได้ไปขอร้องให้ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยและคณะแพทย์ยินยอมให้สอบเรียนหมอ เมื่อเจอกับอธิการบดีซึ่งก็เป็นหมอด้วยแล้ว อธิการบดีก็ไม่ยินยอมอีกตามเคยครับโดยให้เหตุผลว่าคนพิการเรียนหมอจะไม่สะดวกต่อการทำงาน ดังนั้น อาจารย์อาวุโสท่านนี้จึงพูดสวนกลับไปยังอธิการบดีซึ่งมีเชื้อสายแขก (และไม่ทานหมู)ว่า “ขนาดคนไม่กินหมู เขายังรับเรียนแพทย์เลย พิกลมั้ย ทำไมคนพิการมีความสามารถ มีความพยายามถึงไม่รับ” คราวนี้เป็นอันได้เรื่องเลยครับ ยินยอมให้สอบแล้วผลก็ปรากฏว่า “สอบได้ที่ ๑”ด้วยครับ คำสอนจากศาสตราจารย์แพทย์หญิงพี่สาวผมนั้นสอนเพียงแค่ว่า “ขอให้เพียรพยายาม ความเก่งก็แพ้ความขยัน”
พอผมกลับจากการทานอาหารปีใหม่แล้วก็บังเอิญไปพบกับกลุ่มเพื่อนๆน้องๆนักเทนนิสที่เล่นกันมาสมัยเด็กๆ หลายๆคนเป็นแชมป์ประเทศไทยครับ(ยกเว้นตัวผม) และผมก็บังเอิญไปพบครูสอนเทนนิสของผมด้วยครับ ผมขอเรียกว่าเป็นครูของผมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะครูผมคนนี้สอนให้ผมดำเนินชีวิตมาอย่างดี อาจจะไม่ใช่เรื่องการศึกษาครับ แต่เป็นเรื่องจิตใจและความพยายาม ครูผมชื่อว่า “พี่ต๋อย”ครับ ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นผมโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ว่าบังเอิญเค้ามาสร้างสนามเทนนิสไว้หน้าบ้านผมพอดี ดังนั้นพ่อผมจึงมักจะให้ผมไปอยู่ที่สนามเทนนิสเลยครับเพราะที่บ้านก็ไม่มีใครดูแล พ่อแม่ผมเองก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายครับ ผมจึงไม่มีไม้เทนนิส เสื้อผ้า ฯลฯ เหมือนลูกคนอื่นๆที่พ่อแม่ส่งมาเรียนเทนนิสโดยตรง(ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะ) แต่ผมโชคดีที่มีพี่ต๋อยนี่ละครับ พี่ต๋อยเองก็ไม่ใช่เจ้าของสนามเทนนิสนะครับ (อย่าเข้าใจผิด) แต่เป็นเด็กเก็บบอลและเฝ้าสนามเทนนิสจนได้หัดเรียนเทนนิสกับเจ้าของสนามจนกลายเป็นโปรเทนนิสไปจนได้ (ก็เพราะความพยายามอีกนั่นแหละ) ผมเริ่มเล่นเทนนิสกับพี่ต๋อยทุกๆวันครับ เนื่องจากเงินน้อยเลยไม่มีโอกาสเรียนเวลาทั่วไป ผมจึงต้องแอบมาเรียนกับพี่ต๋อยตั้งแต่หกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครมาเรียนแน่ แต่ถึงกระนั้นพี่ต๋อยเองก็เสียสละมาสอนผมแต่เช้าตรู่ เริ่มแรกทีเดียวก็ไม่ได้มาสอนหรอกครับ(พี่ต๋อยหลับไม่ตื่นเพราะเช้ามาก) แต่ผมดันทุรังมาซ้อมเองทุกวันคนเดียวจนพี่ต๋อยเกิดเห็นใจในความบ้าบิ่น
ชีวิตผมได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ดีแสนดีกับผมคนนี้ และก็สอนเรื่องวินัย เรื่องความพยายาม ความมั่นใจอีกมากมาย โดยเฉพาะสอนผมเสมอว่า “อย่าขาดความมั่นใจ เราจะทำได้ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้” (ผมมาทราบภายหลังว่ามีคนที่ได้ดีจากพี่ต๋อยอีกหลายคน เช่น น้องนกที่ได้แชมป์เยาวชนหญิงเทนนิสโลกที่วิมบิลดั้ล) หลังจากที่ผมฝึกซ้อมเทนนิสกับพี่ต๋อยสักพักก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเรื่องไม้เทนนิสและอุปกรณ์ต่างๆมากมาย
หลังจากนั้นผมก็กลับบ้าน ตกดึกบังเอิญไปรื้อห้องนอนตัวเองสักพักก็มีเศษกระดาษเก่าๆตกลงมาจากข้างเตียงนอนของผม ผมเอื้อมไปหยิบหมายมั่นว่าจะเอาไปทิ้งแต่ก็ทิ้งไม่ลงเมื่อพบว่าเศษกระดาษนี้เขียนด้วยลายมือผมเองสมัยเรียน ม ๖ (อกหัก รักไม่เป็น)
ผมเขียนด้วยหมึกดำเอาไว้บนกระดาษรูปรถเต่าว่า “You can do it if you believe you can” พร้อมกับคำว่า “ไปธรรมศาสตร์กัน” เหลือบไปดูกระดาษขาดแหว่งๆอีกชิ้นเขียนถึงแผนการขอทุนไปเรียนต่อประเทศต่างๆ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาลัยปีสอง ทำให้ผมลำดับเรื่องราวได้ทั้งหมดเลยครับ
ผมหวนนึกถึงสมัยที่ผมยังเด็กนั้น ผมเป็นเด็กเกเรเลยทีเดียวครับ โรงเรียนมีหมายให้หักทั้งหมด ๒๐ หมาย ผมเหลืออีกสองหมาย ถูกพักการเรียนไปหนึ่งอาทิตย์เพราะเกเรมาก บ้างก็ไปชกต่อยกับคนอื่น รร อื่น บ้างก็ทำระเบิดไปวางในห้องน้ำ เรียนได้แต่วิชาสุขศึกษาครับที่เหลือนี่ซ่อมราบคาบ แต่สุดท้ายผมก็เกิดความมุ่งมั่นว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ด้วยตัวเองและคงต้องเป็นที่ธรรมศาสตร์ ผมจึงเขียนคำว่า “You can do it if you believe you can” ติดไว้ที่หัวเตียงและมุ่งมั่นขยันอ่านหนังสือจนสำเร็จ
เมื่อเข้า มาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้ ในยุคนั้นถือว่าโก้ไม่เบาละครับที่ได้มาเรียนท่าพระจันทร์ ก็ไม่วายเรียนนิติศาสตร์ยากแสนยากครับ ผมจำได้ว่าในปีแรกที่ประกาศผลสอบนั้นเพื่อนๆเรียนสอบตกกันระนาวเลยทีเดียวครับ ถึงกระทั่งในเทอมถัดมาก็เถอะครับ ร่วงกันเป็นใบไม่ร่วงเลยครับ (ซึ่งแรกๆก็ยังชิวๆกันอยู่แท้ๆ) อย่างไรเสียผมเองก็ยังไม่ตกสักตัวครับแต่คะแนนห่อเหี่ยวเลยทีเดียว จนกระทั่งปีสองเทอมแรกครับ ผมก็หนีไม่พ้นการสอบตกเช่นกันและเรียกได้ว่าตกแล้วตกเล่าในวิชาเดียวจนท้อแท้เลยครับ หลังจากนั้นผมเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตนเองเลยทีเดียวครับจนกระทั่งผมได้คำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่งที่ยังสนิทจนทุกวันนี้ เพื่อนผมบอกคำเดียวครับว่า “มึงไม่ได้โง่หรอก แต่มึงไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองทำได้”
...............................................................หลังจากนั้น สิ่งที่ผมยึดถือจนวันนี้ก็คือคำว่า เราทำได้ ถ้าเราพยายาม เพียงแต่ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้ที่รู้จักรอเท่านั้นเอง.....................................

มุมมองโดมห้างฉัตร

6 comments:

No place for young boy said...

พี่ริน หายไปนาน ไม่เจอเลยนะพี่
ชอบอันนี้นะ ช่วงนี้จิตตกนิดๆ
อ่านแล้วได้กำลังใจมากเลยพี่

zomoh said...

ได้อ่านแล้วคิดถึงอาจารย์แพทย์คนหนึ่งที่ม.เชียงใหม่เลยค่ะ
เป็นอาจารย์...คิดว่าภาควิชากายวิภาคศาสตร์นะคะ
ท่านมาเป็นวิทยากรอบรมเกี่ยวกับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลโดยใช้กระดูก
ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์เค้าเหมือนจะขาพิการข้างหนึ่ง

ปล.หนูจำชื่ออา่จารย์ไม่ได้ แย่จริง

Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

ไม่ผิดหรอกครับ คนเดียวกันครับ : )

minute said...

อีกหนึ่งเรื่องราวที่อ่านแล้วชอบมากๆ ค่ะ

AOM AOM said...

เป็นกำลังใจให้นักศึกษาหลายคนเลยค่ะ


สู้ๆๆนะเพื่อน
เราเข้าใจดี

ปลายฟ้า said...

อาจารย์คับ ข้อมูลในการหาทุนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศของแต่ละประเทศ ไม่มีแล้วหรอคับอาจารย์ช่วยโพสทข้อมูลอีกครั้งได้ไหมคับ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ลูกศิษย์ในการศึกษาต่อ