Wednesday, January 20, 2010

เสียงรถไฟ ณ ขุนตาลธารชมพู

เสียงรถไฟ ณ ขุนตาลธารชมพู


ทุกๆ เย็น ณ ห้างฉัตร เรามักจะได้ยินเสียงหวูดรถไฟแล่นผ่านด้านหลังของมหาวิทยาลัยของเราแห่งนี้ วันนี้ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือเด็กๆมีสีหน้าแสนเศร้าปนสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนใหญ่สมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวละครับ......ช่วงสุดท้ายที่ผมสอน ไม่มีใครอยากฟังอีกแล้วเนื่องจากทุกๆคนต่างรอคอยวันกลับบ้าน
ใครๆคงไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยของเรานอกจากใกล้ขุนตาลแล้วยังใกล้สถานที่สำคัญสำหรับตัวผมอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือธารชมพู สะพานสีขาวพาดผ่านลำธารสายเล็กในบริเวณนี้ สะพานดังกล่าวเป็นที่สุดท้ายก่อนที่รถไฟสายเหนือจะขึ้นไปยังเชียงใหม่
ผมเองพอจะนึกภาพออกครับ เวลาพวกเราดีใจจนเนื้อเต้นรอคอยจะได้กลับบ้านที่เราจากมา คงเป็นครั้งแรกของหลายๆคนที่ต้องหลุดออกจากอ้อมอกของพ่อแม่และมีชีวิตที่เป็นอิสระของตัวเอง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ หลังจากจบมัธยมปลายที่เชียงใหม่ ผมต้องเดินทางมาเรียนที่กรุงเทพฯ รังสิตและท่าพระจันทร์ วันเดือนปีที่รอคอยการกลับไปหาครอบครัวมันผ่านไปช้าแบบบอกไม่ถูก เวลาจะผ่านไปเร็วเมื่อเราได้อยู่กับคนที่เรารัก...พ่อ..แม่...พี่...คุณตาคุณยาย หรือ คุณปู่คุณย่า
ขุนตาลและธารชมพูมีความสำคัญกับผมยิ่งนักครับเพราะสมัยก่อนนั้น ผมจะกลับจากรังสิตมาเชียงใหม่ด้วยรถไฟเสมอครับ ผมนั่งรถไฟผ่านสถานที่นี้นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนที่พวกเราจะต้องเจอไปอีกสี่ปีที่จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน ถ้านั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ธารชมพูเปรียบเป็นประตูสุดท้าย....ก่อนที่ผมจะได้เห็นแสงแดดที่เชียงใหม่ ก่อนได้สูดกลิ่นหอมของบ้านเกิดและก่อนที่จะได้เจอคนที่ผมรักและดูแลผมมาจนโต
ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผมไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า ปรากฏว่าปีนั้นคนนั่งรถไฟกลับบ้านช่วงปีใหม่เยอะมากจนเต็ม ผมคิดถึงบ้านเต็มทน คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ ผมไม่รีรอที่จะกลับ เอาข้าวของใส่เป้แบบไม่วางแผนอะไรทั้งสิ้นครับขอให้ได้กลับบ้าน ผมไปเบียดเสียดอยู่ที่หัวลำโพงจนได้ตั๋วแบบยืนที่ถูกที่สุดครับ (๑๕๐ บาทไปเชียงใหม่) ปรากฏว่าพอขึ้นรถไฟ ผมต้องยืนไปจนถึงอ่างทองนี้ไม่มีที่แม้แต่ให้ขยับตัว สุดท้ายต้องไปนั่งหลับที่ตู้เสบียงจนเช้า..... แต่เช้านี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก หลังจากผมฟุบตัวนอนบนโต๊ะเสบียงจนถึงเช้า พอเงยหน้าแหงนมองหน้าต่าง ผมพบเห็นรถไฟจอดอยู่ที่สถานีห้างฉัตร ขุนตาลนั่นเอง ประตูด่านแรกที่ผมจะได้เจอหน้าพ่อแม่แล้ว
หลังจากนั้นผมรอคอยธารชมพู ประตูด่านสุดท้ายที่จะได้เจอบ้านเกิดเมืองนอนของผม ตื่นเต้นยิ่งนัก.............................................................เวลาผ่านไปแสนนาน ผมยังหวนคิดถึงวันเก่าๆเหล่านี้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ผมที่คิดถึง แต่เป็นพวกเราเหล่า นักศึกษา มธก. นั่นเอง

๒๐ มค ๕๓

5 comments:

legalist said...

อ่านบทความของอาจารย์แล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

มันทำให้รู้ว่าเราเองก็ไม่ได้เฝ้าคอยวันที่จะกลับบ้านคนเดียว

อาจทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต

ร้องไห้คิดถึงบ้านจนไม่อยากอยู่แล้ว

ร้องไห้ทุกครั้งเวลาที่บ้านโทรมา

ร้องไห้ทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงเตี๊ยกะไอ๊

ร้องไห้ทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงพี่กะน้อง

นั่งบ่นกับเพื่อนว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน

นั่งนับวันที่จะได้กลับบ้าน

นั่งมองปฏิทินเวลาเหงา

เศร้าเวลาเห็นเพื่อนได้กลับบ้านแต่เราไม่ได้กลับ

อิจฉาเวลาเห็นเพื่อนบางคนมีพ่อแม่มารับมาส่ง

ดีใจที่วันหนึ่งพี่ๆมาเซอร์ไพส์แต่เช้าตรู่ถึงหอใน

ดีใจที่วันนี้ได้กลับบ้านในรอบ ๒ เดือนครึ่ง

และดีใจที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ค่ะ ^:^

Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

นี่ตอบได้เห็นภาพและอารมณ์เลยนะครับ มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่จะเปลี่ยนให้เราเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นหนึ่งเพราะต้องฝึกความเข้ามแข้งทางจิตใจนั่นเอง

ตอนอยู่มัธยมปลาย พวกเราถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของ รร แตพอมามหาลัย เรากลับเป็นน้องเล็กอีกครั้งหนึ่ง การเข้ามาอยู่ธรรมศาสตร์จะทำให้เรามีวัฒนธรรมที่ต่างจากที่อื่นแน่นอนครับเพราะนอกจากต้องมาลำบากร่วมกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกคนยากดีมีจน คนกรุง คน ตจว ลูกมหาเศรษฐีพันล้าน หรือ ลูกชาวบ้านก็ต้องมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่แบ่งแยก แต่ทนอดและอดทนร่วมกัน
แล้ววันหนึ่งพวกเราจะภูมิใจครับ

Unknown said...

ยินดีที่ได้รู้จักอาจารย์ผ่านบทความดีๆนี้นะคะ

และขอบคุณอาจารย์สำหรับสรุปย่อวิชาต่างๆนะค้า

ปล.ศูนย์รังสิตก็แอบได้ยินเสียงรถไฟเหมือนกันนะคะแต่ยังไม่มีโอกาสได้นั่งซะที

Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

ยินดีครับ ถ้าว่างๆก็นั่งรถไฟแวะเวียนกันมาเยี่ยมเพื่อนๆที่โดมห้างฉัตรได้นะครับ อากาศกำลังดีทีเดียว

S.MD said...
This comment has been removed by the author.