Thursday, January 14, 2010

ชำเลืองใต้เงาโดม ตอนที่ ๑ – บทละครแห่งเธอ ภาคแรก

วันนี้ผมวิ่งไปรอบๆ มหาวิทยาลัย รอบๆบริเวณตึกโดม ตึกห้าชั้นยามเย็น ผมพบเจอเด็กๆ อยู่กันเป็นคู่ บ้างก็เดินจูงมือ บ้างก็พากันไปวิ่ง บางคู่นักอ่านหนังสือกันไป ส่วนพวกไม่มีคู่นี่ก็จับกลุ่มกันไปเรื่อยๆ เช่น พวกเด็กผู้ชายบางกลุ่มในวัยนี้ก็ไม่พ้นโลกนี้สีชมพูละครับ ใกล้จะวันวาเลนไทน์แล้วยิ่งกระดี้กระด้าทีเดียว ฝันหวานกันไปเรื่อยๆ บ้างก็สมหวัง (ผมแอบดูแถวๆโรงอาหารแล้วเดาเอา) ส่วนพวกผิดหวังนี่ยังกับไส้เดือนโดนขี้เถ้าละครับ ดิ้นกันไม่หยุด! บ้างก็ไปนั่งริมบึงทำอารมณ์ติส บ้างก็ไปวิ่งให้ฮอโมนเทสโทสเตอร์โรนมันหมดไป ทำไงได้ละครับ ก็วัยนี้วัยรุ่นวุ่นรักนั่นเอง
ผมเองในวัยนั้นก็แบบนี้ละครับ อันที่จริงผมเคยแต่งนิยายไว้เรื่องหนึ่งให้กับคนที่ผมเคยชอบสมัยเรียนปีหนึ่งเช่นกันครับและบังเอิญผมมาเจอกัน ๑๐ ปีให้หลังยังกับนิยาย ดังนั้นผมเลยแต่งเรื่องสั้นให้เธอไปตอนโตและสารภาพครับว่าสมัยปีหนึ่งเคยชอบเธอแต่ไม่เคยบอกเลย สิ่งที่ทำในตอนนั้นก็เพียงแค่แอบเก็บรูปดอกทานตะวันที่เธอวาดด้วยสีน้ำและแปะไว้ที่โต้ะกลุ่ม ดังนั้นสิบปีผ่านไป ผมจึงถือโอกาสเอามาลงให้พวกวัยรุ่นวุ่นรักอ่านกันเล่นขำๆก่อนวันวาเลนไทน์จะมาถึงครับ


"La confession du voleur 1: คำรับสารภาพของจำเลยฉบับที่ ๑

จากบันทึกคำให้การของ พนง สอบสวน เมื่อวันที่ ๑๓ ธค ๕๐ ที่ผ่านมาหลังจากจับตัวผู้ต้องหาร้ายแรงในคดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืนอันเป็นเหตุฉกรร (ตามมาตรา ๓๓๔,๓๓๕ ประมวลกฏหมายอาญาไทย)ได้ที่ชายแดนพม่า อัยการได้ทำเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทยเร็วๆนี้ โดยศาลสรุปว่าคดีนี้มีมูลเนื่องจากพบหลักฐานสำคัญสองชิ้นที่โจทก์ได้ระบุไว้ในคำร้องทุกข์เมื่อสิบปีก่อน กล่าวคือ ๑ รูปภาพที่หายไป และ๒ คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนโดยมีข้อความที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวดังต่อไปนี้ (อ่านแล้วอย่าขำนะครับ) ;

“เมื่อสิบปีก่อนถ้าเลือกได้คงไม่เก็บภาพนั้นมาแน่นอนเพราะมันตอกย้ำความทรงจำอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรเปิ่นๆออกไป เมื่อย้อนไปถึงวัยที่เรายังเป็นเด็กบ้านนอกเข้ามาใน กทมฯ วันเดือนแรกแห่งการเรียนที่รังสิต ทำไมเราถึงได้พบผู้หญิงคนนึงที่ทำให้เราไม่ลืมจนเลยวัยเบญจเพศไป แน่ละ เพราะเธอคนนั้นน่ารักมากไง (จนเพื่อนเราด่าว่า ไอ้นี่เพ้อเจ้อทุกวัน) แต่ก็ไม่วายที่เราจะสมมุติว่า “คนนี้แฟนฉัน” (แต่ฉันไม่ใช่แฟนเธอเพราะเธอเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันยังไม่รู้จักเลย)
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คราวนี้เริ่มได้ข่าวกรองที่เราเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มของเธอ เพื่อนชายในกลุ่มเธอคนนึงที่เรา(พยายาม)ตีสนิทได้ให้ข่าวว่า “เธอชื่อแนท” (พลาดตั้งแต่เริ่มแล้ว เป็นไงละ) จากนั้นเด็กชายวัย ๑๘ ปีก็พร่ำเพ้อแบบไร้สามัญสำนึกทั้งที่รู้แค่นั้น เด็กชายจินตนาการถึงเด็กสาวคนนั้น คนที่ไว้ผมสั้น ผิวขาว ตาโตใสปิ้ง หิ้วกระเป๋าขนฟูสีดำและเครื่องประดับสีสันมากมาย ทันใดนั้นก็มีพวกกระจอกข่าว พิราบข่าวมาบอกว่า “คุณหนูแน่เลยวะมึง บ้างก็ว่าพ่อเธอโหด บ้างก็ว่าเธอมีแฟนแล้ว หล่อด้วย” พวกนี้ไม่ปล่อยข่าวลือ ก็ทำลายกำลังใจกันทั้งน้านนนนน!

เดือนที่สามสี่ผ่านไป เราเริ่มเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มด้วยตัวเอง(ทั้งที่อายเหลือเกิน)ด้วยกลวิธีหลากหลายมากมาย เช่น ทำเป็นไปทักเพื่อนในกลุ่มนั้นก่อน, หาเรื่องเดินไปเรียนโดยพร้อมเพรียงกับกลุ่มนี้ที่ตึกอื่น, ชวนเพื่อนชายไปเล่นบอล(ทั้งที่เราเตะไม่เป็นเลย), และที่เห่ยที่สุดคือ ชอบไปยืมชีทที่กลุ่มนั้น เฮ้อ มีแต่แผนเห่ยๆวะทำไงดีน้าาา

เพราะได้ข่าวจริงว่าเธอชื่อ “แอ๊น” เด็กชายคิดในใจว่า “เพื่อนเราให้ข่าวดีดีทั้งนั้น หึๆ ผิดหมดเลย” มีอยู่วันนึงที่เด็กชายแอบชำเลืองมองสาวในดวงใจของเขาแบบกล้าๆ อายๆ (จริงๆแอบดูทุกวัน แต่ใช้เทคนิคฯ) ทันใดนั้น หล่อนหันมามองและจ้องหน้า สายตาสบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลายอย่างอธิบายด้วยภาษาแต่หลายอย่างภาษาไม่อาจอธิบายได้ เหตุผลก็เช่นกัน เพียงแค่นี้ทำให้เด็กชายมีความสุขเหลือเกิน ใครด่าก็ไม่โกรธ ใครห้ามก็ไม่ฟัง นั่งอมยิ้มอย่างเดียว เพื่อนบอกรักทำมึงตาบอด แต่เขากลับตอบว่า “ไม่บอดๆมองเห็นแต่เป็นสีชมพู” เฮ้อ......เหนื่อยแทนอดีตครับ
ตอนนั้นเริ่มเข้าหน้าหนาว ลมรังสิตพัดแรง เริ่มมีข่าวกรองในกลุ่มเล่ากันว่าเธอพักอยู่ที่หอวี แต่มีรุ่นพี่มาจีบเธอเห็นว่าเป็นหนุ่มวิศวะ เด็กชายคิดในใจ “เอาไงดีวะกู เสียเปรียบแบบเห็นๆเลย” จึงตัดสินใจไปอยู่กับเพื่อนสนิทที่หอวีสักพัก(คงเทียบได้กับอยู่หอโดม ๑ แล้วไปสิงในเมืองลำปาง) เพื่อนเป็นเด็กวิศวะเช่นกัน แต่รอแล้วรอเล่า ก็ไม่เจอเธออีกเลย.............แหล่งข่าวบอกว่าช่วงใกล้ปิดเทอม เธอกลับบ้านแล้ว
สิ่งเดียวที่เด็กชายจดจำได้ตอนนั้นคือ สายตา สายตาคู่นั้นที่ใครเห็นก็คงต้องหวั่นไหวและไหวหวั่น ตากลมโตแวววาวมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างบอกไม่ถูก เค้าว่าดวงตาปิดกันไม่ได้นี่นา ดวงตานี้แสนอ่อนโยน จริงใจและน่าปกป้องเหลือเกินนนน...(น้ำเน่ามากครับแต่ได้ฟิว)
เข้าเดือนพฤศจิกายน ๔๐ จำได้ว่าเป็นช่วงลอยกระทงหน้าหนาว แสงไฟระยิบระยับจากพลุ เด็กชายเดินพลัดหลงเข้าไปพบกับเด็กสาวคนนี้โดยบังเอิญแถวๆโรงอาหาร ทำไงดีน้า? รวบรวมความกล้าเข้าไปทักดีมั้ยเนี่ย หรือ ทำฟอร์มเก็กต่อไปดี ทันทีที่เด็กหญิงเหลือบมามอง เด็กชายหลบฉากกกก หายแซ๊บบบบ อายครับอายยย ทำเป็นจุดพลุ
อีกเดือนได้ข่าวว่าแหล่งข่าวที่เราหาข่าวมาตลอดและพรรคพวกของแหล่งข่าวไม่เห็นด้วยกับการที่คนนอกกลุ่มจะเข้ามาจีบเธอ พวกองครักษ์พิทักเธอเยอะเหลือเกิน ทำไงดี ทำไงดีละในเมื่อเพื่อนของเธอในกลุ่มชอบเธอมากเหลือเกิน อีกทั้งมีความรู้สึกว่า เราและคู่หูที่ชอบไปเรียบๆเคียงๆ ถูกมองว่า ไม่น่าไว้ใจซะแล้ว

เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเธอมาถามกับเด็กชายเองว่า “นายชอบเธอเหรอ เราก็ชอบมากเลย”........., ถึงเวลาตัดสินใจคำนวณทุกอย่างที่มีข้อมูล- เพื่อนคนนี้ดีเหลือเกิน, เพื่อนคนนี้รักเธอเหลือเกิน, มันน่าจะรักจริง.........สำหรับผู้ชาย สามัญสำนึกมาก่อน
วันหนึ่ง เด็กสาวและเพื่อนๆได้นั่งเล่นกันและวาดภาพสีน้ำกันอย่างสนุกสนาน ภาพที่ปรากฏคือภาพดอกทานตะวันสีเขียวเหลืองลงชื่อของเด็กสาว ชั่ววู๊บแห่งความคิด เด็กชายตัดสินใจอะไรบางอย่าง
หนึ่งเดือนก่อนการตัดสินใจกระทำผิด จำเลยในคดีนี้ให้การว่า “สิ่งที่ทำไม่ผิด ในเมื่อการที่เราทำอะไรตรงกับที่ใจเราคิดย่อมไม่ผิด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราคิดอย่างทำอย่างนี่ถึงเรียกว่าผิด ผิดต่อความรู้สึกของตัวเองไง” ดังนั้น การกระทำก่อนๆของเขาจึงผิดมากกว่าที่เขากำลังจะทำเสียอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เค้าจะทำในสิ่งที่ใจต้องการ

แม้ กม มองว่าการลักทรัพย์เป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ถ้าสมมุติว่า “การลักยารักษาโรคเพื่อไปรักษาคนป่วย”มีเหตุจำเป็นอันได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษฉันท์ใดแล้ว การลักรูปภาพของคนที่เขารัก ก็เป็นเหตุจำเป็นต่อการรักษาใจ ฉันนั้น

สุดท้ายจำเลยได้สารภาพต่อ พนักงานสอบสวนว่า........ความรักเหมือนฟ้าผ่า เราไม่อาจรู้ว่ามันมาเมื่อไหร่ และไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่ารักไปซะแล้ว.........
ดังนั้นก่อนวันวาเลนไทน์นี้ ใครอยากจะสารภาพอะไรกับใครก็เต็มที่นะครับ ผมเอาใจช่วย ดีกว่า ๑๐ ปีพึ่งมาบอกแบบผม มันก็สายเสียแล้วครับ

6 comments:

TaPuS said...

เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "...ความรักเหมือนฟ้าผ่า เราไม่อาจรู้ว่ามันมาเมื่อไหร่ และไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่ารักไปซะแล้ว.........
ดังนั้นก่อนวันวาเลนไทน์นี้ ใครอยากจะสารภาพอะไรกับใครก็เต็มที่นะครับ..."

ลองฟังเพลง "แค่บอกว่ารักเธอ" ของ หมีพูห์ ครับ
"ทนกับตัวเองมานานเหลือเกิน
ใครๆเขาก็ยังเมิน
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีคู่ครอง
เธอมีใครหลายคนหมายปอง
ฉันเองก็ยังคอยมอง
แต่ไม่กล้าเหมือนเดิมจะทำฉันใด

ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ
อยากให้เขารู้ ฉันคงต้องแสดงออก
ไม่ใช่ให้ใครเค้าบอก
หรือว่าให้เค้าเดาเองว่ารักเธอ
(เธอต้องรักเขา)

ทนอึดอัดใจมานานหลายปี
ไม่กล้าใกล้เธอซักที
เจอกี่ครั้งก็ยังเป็นอยู่เช่นเคย
คุยกับตัวเองทำไมต้องกลัว
เจอทีไรใจมันเต้นรัว
ทั้งที่บอกกับตัวเองเรื่อยมา

ใครจะไปคิดเอาเอง ว่าเองว่าเธอนั้นมีใจ
มันง่ายเกินไป เหมือนว่าหลงตัวเอง
เอ่ยไปเลยว่ารักไม่ต้องเกรงใจใคร
จะยากอะไร ก็แค่บอกว่าฉันรักเธอ

เค้าอาจจะบอกรักเธอ"

minute said...

ว้า! เสียดายจังพระเอกของเราจบแบบไม่ happy ending แต่อย่าเพิ่งหมดหวังนะคะอาจารย์เพราะ "เค้าอาจจะบอกว่ารักเธอ" เหมือนอย่างในเพลงก็ได้....

สงสัยวาเลนไทน์ปีนี้ต้องรวบรวมความกล้าบ้างละ แต่...สุดท้ายก็คงไม่กล้าอีกตามเคยแหละค่ะ ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเกิดมาเป็นผู้หญิงทำอะไรมากเกินไปก็จะดูไม่ดีอีก คงต้องกินแห้วกระป๋องต่อไปอีกแน่ๆ เลย

ว่าแต่..วาเลนไทน์ปีนี้อาจารย์มีคนให้บอกรักรึยังคะ ก็อย่าลืมบอกนะคะ เดี๋ยวจะสายไปเหมือนอดีตอีก จะได้จบแบบ happy ending เหมือนในหนัง

..แล้วจะรอติดตามบทละครแห่งเธอภาคสองนะคะ..

Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

555 จะช้าหรือเร็วถ้าได้บอกมันไม่สายไปหรอกครับ พอดีเรื่องของผมนี่ตอนมาเจอกันอีกที ต่างคนก็ต่างโตๆกันแล้วละครับ (ไม่ต้องรำงิ้วรำละครมาก ไม่มีอารัมภบทแบบวัยรุ่น)พอเราโตขึ้นก็จะรู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องขำๆไปนะครับ ทุกวันนี้ผมกับเขายังมานั่งหัวเราะกันอยู่เลยครับว่าทำกันไปได้ยังไง ขอบคุณมากนะครับที่ติดตาม

T said...
This comment has been removed by the author.
Mr.Bhumindr BUTR-INDR said...

ขอบคุณมากนะครับ สำหรับคนที่ผมเก็บภาพเขาไว้ ตอนนี้เค้าเอาภาพนี้ไปเก็บแทนแล้วครับ (ผมเลยเหลือแต่สำเนา 555)

• แป๊ะยิ้มพิมพ์ใจ • said...

งั้นก็รอดูว่า วันที่ 14 ก.พ. ปีนี้
จะมีใครบอกรักใครหรือเปล่า?
ส่วนหนู...นั่งนับซองอั่งเปาอยู่ที่บ้านค่ะ