นศ ท่านใดที่สนใจไปดูงานที่สถานกงสุลฝรั่งเศส (อยู่ตรงข้าม รร CHEDI ริมน้ำปิงหลังตลาดไนบราซ่า) สามารถไปร่วมงานได้ในวันที่ 5 กพ 2553 นี้นะครับ นศ สามารถไปได้ทุกๆคนโดยไม่จำกัดว่าเป็นคนที่ลงทะเบียนเรียนภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ ดร ฐาปนันท์ กับ อ ภูมินทร์จะไปรอที่สถานกงสุลฯ เชียงใหม่และจะเริ่มกิจกรรมกันตั้งแต่ 10.00-12.00 น
กิจกรรมมีดังนี้ครับ
1. ท่านกงสุลฝรั่งเศสแนะนำสถานที่และพาเที่ยวห้องสมุดและหอจดหมายเหตุ
2. พาเข้าชมวัฒนธรรมฝรั่งเศส - ดูหนังฝรั่งเศส
3. กิจกรรมสันทนาการตามอัธยาศัย (เที่ยวเล่นสายลมแสงแดด กินกาแฟ ฯลฯ)
นศ ที่สนใจสามารถไปลงทะเบียนได้ที่คุณศศิวิมลพร หรือพี่นกนะครับ
อ ภูมินทร์ บุตรอินทร์
ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน แลกเปลี่ยนมุมมองทางกฎหมาย ทัศนะคติส่วนตัวและเผยแพร่งานวิชาการ
Wednesday, January 27, 2010
Tuesday, January 26, 2010
“ ข้าพเจ้าอาจเดินช้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินถอยหลัง”
สวัสดีครับ ทุกๆคนที่พึ่งรู้คะแนนสอบไป ขออย่าได้ท้อแท้กับการรู้คะแนนนะครับ วันนี้มี นศ เขียนมาถามวิธีการตอบข้อสอบ ดังนั้นอาจารย์ขออธิบายอย่านี้นะครับ
๑ การจำเลขมาตราได้แม่นนั้นอาจเป็นดาบสองคม หมายความว่า ถ้าจำได้จริงๆก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่ใช่ หรือ จำผิดจะถูกหักคะแนนมาก(โดยเฉพาะสอบในระดับสูงขึ้นไปอีก เช่น เนติ ผู้ช่วย พพษ)เนื่องจากนักกฎหมายต้องมีความแม่นยำ การที่เราไม่แม่นยำนั่นหมายถึง อาจทำให้คนๆหนึ่งตายได้ หรืออาจเสียเสรีภาพไปเลย ดังนั้นถ้าไม่แม่นยำ อย่าไปเขียนลงไป
๒ การเรียน กม ไม่ได้ทดสอบความจำ (เลขมาตรา)แต่ทดสอบความสามารถในทางให้เหตุทาง กม ดังนั้น แม้ว่าจะจำเลขมาตราไม่ได้ แต่วางหลัก กม ไว้ชัดเจนก็แสดงถึงความรู้ความเข้าใจ
๓ การเขียนว่า "หลักกฎหมายที่...วางหลักว่า"อาจทำให้งงและสับสนได้ เราอาจดำเนินการดังนี้
ก)ถ้าจับประเด็นได้ว่าเรื่องดังกล่าวคือเรื่องอะไร โจทก์ถามอะไร เช่น ประเด็นเป็นเรื่องกลฉ้อฉล เราอาจใช้คำว่า "ในประเด็นเรื่องกลฉ้อฉลนี้วางหลัก กม ไว้มีสาระสำคัญดังนี้.....๑.....๒...๓"
ข)การที่เราเขียนหลักรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวได้ ไม่ใช่การสมมุติเอาเองแน่นอนครับ เพราะเมื่อผู้ตรวจได้อ่านก็จะรู้ได้ว่าคุณเข้าใจและไปถูกทาง แต่ที่จะทำให้ไปไกลกว่าเดิมก็คือว่า ทำอย่างไรให้ผู้ตรวจเห็นว่าคุณเข้าใจในหลัก กม ดังกล่าวจริงๆ นั่นหมายความว่าจะต้องแจกแจงหลัก กม เข้ากับข้อเท็จจริงอย่างละเอียดครับ
พูดง่ายๆก็คือ ต้อง "รู้รอบทิศ คิดรอบด้าน"ในข้อเท็จจริงนั้นๆ สิ่งนี้ละครับที่ทำให้นัก กม เราเหนือกว่าคนอื่น ไม่ใช่ความจำครับ
สำหรับทุกคนที่คะแนนไม่ดีและรู้สึกท้อแท้กับการเรียน กม
ผมขอนำคำพูดของนักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งมากล่าว ไม่ใช่ใครครับ ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกา รัฐบุรุษผู้เปลี่ยนโลกชื่อ อับราฮัม ลินคอร์นนั่นเอง ท่านกล่าวว่า
“ ข้าพเจ้าอาจเดินช้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินถอยหลัง”
๑ การจำเลขมาตราได้แม่นนั้นอาจเป็นดาบสองคม หมายความว่า ถ้าจำได้จริงๆก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่ใช่ หรือ จำผิดจะถูกหักคะแนนมาก(โดยเฉพาะสอบในระดับสูงขึ้นไปอีก เช่น เนติ ผู้ช่วย พพษ)เนื่องจากนักกฎหมายต้องมีความแม่นยำ การที่เราไม่แม่นยำนั่นหมายถึง อาจทำให้คนๆหนึ่งตายได้ หรืออาจเสียเสรีภาพไปเลย ดังนั้นถ้าไม่แม่นยำ อย่าไปเขียนลงไป
๒ การเรียน กม ไม่ได้ทดสอบความจำ (เลขมาตรา)แต่ทดสอบความสามารถในทางให้เหตุทาง กม ดังนั้น แม้ว่าจะจำเลขมาตราไม่ได้ แต่วางหลัก กม ไว้ชัดเจนก็แสดงถึงความรู้ความเข้าใจ
๓ การเขียนว่า "หลักกฎหมายที่...วางหลักว่า"อาจทำให้งงและสับสนได้ เราอาจดำเนินการดังนี้
ก)ถ้าจับประเด็นได้ว่าเรื่องดังกล่าวคือเรื่องอะไร โจทก์ถามอะไร เช่น ประเด็นเป็นเรื่องกลฉ้อฉล เราอาจใช้คำว่า "ในประเด็นเรื่องกลฉ้อฉลนี้วางหลัก กม ไว้มีสาระสำคัญดังนี้.....๑.....๒...๓"
ข)การที่เราเขียนหลักรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวได้ ไม่ใช่การสมมุติเอาเองแน่นอนครับ เพราะเมื่อผู้ตรวจได้อ่านก็จะรู้ได้ว่าคุณเข้าใจและไปถูกทาง แต่ที่จะทำให้ไปไกลกว่าเดิมก็คือว่า ทำอย่างไรให้ผู้ตรวจเห็นว่าคุณเข้าใจในหลัก กม ดังกล่าวจริงๆ นั่นหมายความว่าจะต้องแจกแจงหลัก กม เข้ากับข้อเท็จจริงอย่างละเอียดครับ
พูดง่ายๆก็คือ ต้อง "รู้รอบทิศ คิดรอบด้าน"ในข้อเท็จจริงนั้นๆ สิ่งนี้ละครับที่ทำให้นัก กม เราเหนือกว่าคนอื่น ไม่ใช่ความจำครับ
สำหรับทุกคนที่คะแนนไม่ดีและรู้สึกท้อแท้กับการเรียน กม
ผมขอนำคำพูดของนักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งมากล่าว ไม่ใช่ใครครับ ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกา รัฐบุรุษผู้เปลี่ยนโลกชื่อ อับราฮัม ลินคอร์นนั่นเอง ท่านกล่าวว่า
“ ข้าพเจ้าอาจเดินช้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินถอยหลัง”
Wednesday, January 20, 2010
เสียงรถไฟ ณ ขุนตาลธารชมพู
เสียงรถไฟ ณ ขุนตาลธารชมพู
ทุกๆ เย็น ณ ห้างฉัตร เรามักจะได้ยินเสียงหวูดรถไฟแล่นผ่านด้านหลังของมหาวิทยาลัยของเราแห่งนี้ วันนี้ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือเด็กๆมีสีหน้าแสนเศร้าปนสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนใหญ่สมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวละครับ......ช่วงสุดท้ายที่ผมสอน ไม่มีใครอยากฟังอีกแล้วเนื่องจากทุกๆคนต่างรอคอยวันกลับบ้าน
ใครๆคงไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยของเรานอกจากใกล้ขุนตาลแล้วยังใกล้สถานที่สำคัญสำหรับตัวผมอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือธารชมพู สะพานสีขาวพาดผ่านลำธารสายเล็กในบริเวณนี้ สะพานดังกล่าวเป็นที่สุดท้ายก่อนที่รถไฟสายเหนือจะขึ้นไปยังเชียงใหม่
ผมเองพอจะนึกภาพออกครับ เวลาพวกเราดีใจจนเนื้อเต้นรอคอยจะได้กลับบ้านที่เราจากมา คงเป็นครั้งแรกของหลายๆคนที่ต้องหลุดออกจากอ้อมอกของพ่อแม่และมีชีวิตที่เป็นอิสระของตัวเอง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ หลังจากจบมัธยมปลายที่เชียงใหม่ ผมต้องเดินทางมาเรียนที่กรุงเทพฯ รังสิตและท่าพระจันทร์ วันเดือนปีที่รอคอยการกลับไปหาครอบครัวมันผ่านไปช้าแบบบอกไม่ถูก เวลาจะผ่านไปเร็วเมื่อเราได้อยู่กับคนที่เรารัก...พ่อ..แม่...พี่...คุณตาคุณยาย หรือ คุณปู่คุณย่า
ขุนตาลและธารชมพูมีความสำคัญกับผมยิ่งนักครับเพราะสมัยก่อนนั้น ผมจะกลับจากรังสิตมาเชียงใหม่ด้วยรถไฟเสมอครับ ผมนั่งรถไฟผ่านสถานที่นี้นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนที่พวกเราจะต้องเจอไปอีกสี่ปีที่จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน ถ้านั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ธารชมพูเปรียบเป็นประตูสุดท้าย....ก่อนที่ผมจะได้เห็นแสงแดดที่เชียงใหม่ ก่อนได้สูดกลิ่นหอมของบ้านเกิดและก่อนที่จะได้เจอคนที่ผมรักและดูแลผมมาจนโต
ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผมไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า ปรากฏว่าปีนั้นคนนั่งรถไฟกลับบ้านช่วงปีใหม่เยอะมากจนเต็ม ผมคิดถึงบ้านเต็มทน คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ ผมไม่รีรอที่จะกลับ เอาข้าวของใส่เป้แบบไม่วางแผนอะไรทั้งสิ้นครับขอให้ได้กลับบ้าน ผมไปเบียดเสียดอยู่ที่หัวลำโพงจนได้ตั๋วแบบยืนที่ถูกที่สุดครับ (๑๕๐ บาทไปเชียงใหม่) ปรากฏว่าพอขึ้นรถไฟ ผมต้องยืนไปจนถึงอ่างทองนี้ไม่มีที่แม้แต่ให้ขยับตัว สุดท้ายต้องไปนั่งหลับที่ตู้เสบียงจนเช้า..... แต่เช้านี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก หลังจากผมฟุบตัวนอนบนโต๊ะเสบียงจนถึงเช้า พอเงยหน้าแหงนมองหน้าต่าง ผมพบเห็นรถไฟจอดอยู่ที่สถานีห้างฉัตร ขุนตาลนั่นเอง ประตูด่านแรกที่ผมจะได้เจอหน้าพ่อแม่แล้ว
หลังจากนั้นผมรอคอยธารชมพู ประตูด่านสุดท้ายที่จะได้เจอบ้านเกิดเมืองนอนของผม ตื่นเต้นยิ่งนัก.............................................................เวลาผ่านไปแสนนาน ผมยังหวนคิดถึงวันเก่าๆเหล่านี้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ผมที่คิดถึง แต่เป็นพวกเราเหล่า นักศึกษา มธก. นั่นเอง
๒๐ มค ๕๓
ทุกๆ เย็น ณ ห้างฉัตร เรามักจะได้ยินเสียงหวูดรถไฟแล่นผ่านด้านหลังของมหาวิทยาลัยของเราแห่งนี้ วันนี้ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือเด็กๆมีสีหน้าแสนเศร้าปนสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนใหญ่สมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวละครับ......ช่วงสุดท้ายที่ผมสอน ไม่มีใครอยากฟังอีกแล้วเนื่องจากทุกๆคนต่างรอคอยวันกลับบ้าน
ใครๆคงไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยของเรานอกจากใกล้ขุนตาลแล้วยังใกล้สถานที่สำคัญสำหรับตัวผมอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือธารชมพู สะพานสีขาวพาดผ่านลำธารสายเล็กในบริเวณนี้ สะพานดังกล่าวเป็นที่สุดท้ายก่อนที่รถไฟสายเหนือจะขึ้นไปยังเชียงใหม่
ผมเองพอจะนึกภาพออกครับ เวลาพวกเราดีใจจนเนื้อเต้นรอคอยจะได้กลับบ้านที่เราจากมา คงเป็นครั้งแรกของหลายๆคนที่ต้องหลุดออกจากอ้อมอกของพ่อแม่และมีชีวิตที่เป็นอิสระของตัวเอง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ หลังจากจบมัธยมปลายที่เชียงใหม่ ผมต้องเดินทางมาเรียนที่กรุงเทพฯ รังสิตและท่าพระจันทร์ วันเดือนปีที่รอคอยการกลับไปหาครอบครัวมันผ่านไปช้าแบบบอกไม่ถูก เวลาจะผ่านไปเร็วเมื่อเราได้อยู่กับคนที่เรารัก...พ่อ..แม่...พี่...คุณตาคุณยาย หรือ คุณปู่คุณย่า
ขุนตาลและธารชมพูมีความสำคัญกับผมยิ่งนักครับเพราะสมัยก่อนนั้น ผมจะกลับจากรังสิตมาเชียงใหม่ด้วยรถไฟเสมอครับ ผมนั่งรถไฟผ่านสถานที่นี้นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนที่พวกเราจะต้องเจอไปอีกสี่ปีที่จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน ถ้านั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ธารชมพูเปรียบเป็นประตูสุดท้าย....ก่อนที่ผมจะได้เห็นแสงแดดที่เชียงใหม่ ก่อนได้สูดกลิ่นหอมของบ้านเกิดและก่อนที่จะได้เจอคนที่ผมรักและดูแลผมมาจนโต
ผมจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ผมไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ล่วงหน้า ปรากฏว่าปีนั้นคนนั่งรถไฟกลับบ้านช่วงปีใหม่เยอะมากจนเต็ม ผมคิดถึงบ้านเต็มทน คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ ผมไม่รีรอที่จะกลับ เอาข้าวของใส่เป้แบบไม่วางแผนอะไรทั้งสิ้นครับขอให้ได้กลับบ้าน ผมไปเบียดเสียดอยู่ที่หัวลำโพงจนได้ตั๋วแบบยืนที่ถูกที่สุดครับ (๑๕๐ บาทไปเชียงใหม่) ปรากฏว่าพอขึ้นรถไฟ ผมต้องยืนไปจนถึงอ่างทองนี้ไม่มีที่แม้แต่ให้ขยับตัว สุดท้ายต้องไปนั่งหลับที่ตู้เสบียงจนเช้า..... แต่เช้านี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก หลังจากผมฟุบตัวนอนบนโต๊ะเสบียงจนถึงเช้า พอเงยหน้าแหงนมองหน้าต่าง ผมพบเห็นรถไฟจอดอยู่ที่สถานีห้างฉัตร ขุนตาลนั่นเอง ประตูด่านแรกที่ผมจะได้เจอหน้าพ่อแม่แล้ว
หลังจากนั้นผมรอคอยธารชมพู ประตูด่านสุดท้ายที่จะได้เจอบ้านเกิดเมืองนอนของผม ตื่นเต้นยิ่งนัก.............................................................เวลาผ่านไปแสนนาน ผมยังหวนคิดถึงวันเก่าๆเหล่านี้ แต่คราวนี้ไม่ใช่ผมที่คิดถึง แต่เป็นพวกเราเหล่า นักศึกษา มธก. นั่นเอง
๒๐ มค ๕๓
Sunday, January 17, 2010
ชำเลืองใต้เงาโดม ตอนที่ ๒ - บทละครแห่งเธอ (ต่อจากตอนแรก)
La confession du voleur 2: คำรับสารภาพของจำเลยฉบับที่ 2: เส้น แสง สี และสิ่งอื่น
หลังจากที่ศาลได้ตัดสินยกฟ้องจำเลยในคดีลักทรัพย์ภาพดอกทานตะวันซึ่งถึงแม้จะมีมูลฟ้องตามที่ศาลได้ไต่สวนแล้วนั้น แต่ต้องตัดสินยกฟ้องจำเลยอันเนื่องมาจากคดีนี้อัยการโจทก์(คดีอาญาลักทรัพย์ผู้อื่น)นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเลยได้ลักทรัพย์ภายในสิบปี ศาลจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย(เด็กชายที่เก็บภาพดอกทานตะวันไปเมื่อสิบปีก่อน)ไปโดยตัดสินว่าคดีนี้ขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๕
โจทก์(เด็กหญิงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่เด็กชายหลงรัก)ไม่พอใจจึงนำคดีนี้มาฟ้องเป็นอีกคดีตั้งมูลฟ้องที่ต่างออกไปคือ จำเลยได้ทำละเมิดลิขสิทธิ์ในงานของโจทก์โดยนำออกเผยแพร่ในอินเตอเน็ต ถือเป็นการเผยแพร่งานจิตรกรรมของโจทก์สู่สาธารณชน โดยไม่ได้รับอนุญาติตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๒๗
คดีนี้จำเลยต่อสู้โดยอ้างนิยามตามกฎหมายในมาตรา ๔ ว่างานของโจทก์ไม่ใช่งานจิตรกรรม(ศิลปกรรม)ตามนิยามของกฎหมาย. โดยนำสืบด้วยการนำพยานผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปฯ และ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจาก The Association of Southeast Asian Nations งานดังกล่าวไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใดใหม่ การลงสี การลงเส้น แสง เงา และ ไอเดียภาพดอกทานตะวัน (ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตาม รร อนุบาล)
โจทก์นำสืบว่างานดังกล่าวเป็นงานจิตรกรรมตามความหมาย กล่าวคือ “งานสร้างสรรค์รูปทรงที่ประกอบด้วย เส้น แสง สี และสิ่งอื่น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ลงบนวัสดุอย่างเดียวหรือหลายอย่าง” โจทก์(เด็กหญิงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่เด็กชายหลงรัก)ไม่ติดใจเรื่องเส้น แสง สี แต่ขอให้ศาลตีความคำว่า “สิ่งอื่น อย่างใดอย่างหนึ่ง” เพราะเธอมองว่าถ้าขาดซึ่ง “สิ่งอื่น” ดังกล่าวแล้วจำเลยคงไม่หลงไหลได้ปลื้มถึงขนาดขโมยเก็บไว้เกินกว่า ๑๐ ปีแน่นอน
สุดท้ายจำเลย(เด็กชายที่เก็บภาพดอกทานตะวันไปเมื่อสิบปีก่อน)รับในคดีโดยไม่นำสืบต่อเพราะคำว่า “สิ่งอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง” ในนิยามของกฎหมายมีความหมายต่อนิยามของชีวิตจำเลยด้วย เขากล่าวว่า “ถ้า แวง โก๊ะ ต้องบำบัดตัวเองที่ รพ เพราะการวาดภาพฉันใด จำเลยก็ต้องบำบัดด้วยภาพดอกทานตะวันเช่นกัน....................................................” จำเลย(เด็กชายที่เก็บภาพดอกทานตะวันไปเมื่อสิบปีก่อน)รับสารภาพต่อหน้าศาลตามข้อเท็จจริงว่า “หลังจากผ่านไปสิบปี จำเลยได้กลับมาพบโจทก์(เด็กหญิงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่เด็กชายหลงรัก)อีกครั้ง เมื่อทั้งคู่ได้รู้จักคุ้นเคยกัน คนสองคนพึ่งได้มารู้จักกันโดยไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่พบกันโดยบังเอิญในที่ๆบังเอิญเมื่อเวลาได้ล่วงผ่านไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเป็นนายธนาคารรับฝากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากเธอ(เด็กหญิงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่เด็กชายหลงรัก).......รอวันเธอมาฝากให้เต็ม.............................................เพราะเขาก็สุขใจและรอปันผลเป็นรอยยิ้มเช่นกัน ช่วงที่ผ่านมาโจทก์ (เด็กหญิงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่เด็กชายหลงรัก)เธอพึ่งเลิกรากับแฟนเก่า เธอเสียใจจากเรื่องบางเรื่อง ทั้งเกลียด ทั้งเข็ด เพราะนิยามรักของเธอตอนนี้คือ แปลงดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา.....................
เพราะเธอกำลังเกลียดผู้ชายทั้งโลกเข้าเต็มประตู จำเลย(ซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่ง)ก็เลยถูกจัดเข้ากลุ่มด้วย แต่ก็ไม่วายที่เขาต้องยอมตกเป็นจำเลย เพราะอะไรกันแน่.................................หรือเพราะคำว่า.................................................................................................... “สิ่งอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง”
Thursday, January 14, 2010
ชำเลืองใต้เงาโดม ตอนที่ ๑ – บทละครแห่งเธอ ภาคแรก
วันนี้ผมวิ่งไปรอบๆ มหาวิทยาลัย รอบๆบริเวณตึกโดม ตึกห้าชั้นยามเย็น ผมพบเจอเด็กๆ อยู่กันเป็นคู่ บ้างก็เดินจูงมือ บ้างก็พากันไปวิ่ง บางคู่นักอ่านหนังสือกันไป ส่วนพวกไม่มีคู่นี่ก็จับกลุ่มกันไปเรื่อยๆ เช่น พวกเด็กผู้ชายบางกลุ่มในวัยนี้ก็ไม่พ้นโลกนี้สีชมพูละครับ ใกล้จะวันวาเลนไทน์แล้วยิ่งกระดี้กระด้าทีเดียว ฝันหวานกันไปเรื่อยๆ บ้างก็สมหวัง (ผมแอบดูแถวๆโรงอาหารแล้วเดาเอา) ส่วนพวกผิดหวังนี่ยังกับไส้เดือนโดนขี้เถ้าละครับ ดิ้นกันไม่หยุด! บ้างก็ไปนั่งริมบึงทำอารมณ์ติส บ้างก็ไปวิ่งให้ฮอโมนเทสโทสเตอร์โรนมันหมดไป ทำไงได้ละครับ ก็วัยนี้วัยรุ่นวุ่นรักนั่นเอง
ผมเองในวัยนั้นก็แบบนี้ละครับ อันที่จริงผมเคยแต่งนิยายไว้เรื่องหนึ่งให้กับคนที่ผมเคยชอบสมัยเรียนปีหนึ่งเช่นกันครับและบังเอิญผมมาเจอกัน ๑๐ ปีให้หลังยังกับนิยาย ดังนั้นผมเลยแต่งเรื่องสั้นให้เธอไปตอนโตและสารภาพครับว่าสมัยปีหนึ่งเคยชอบเธอแต่ไม่เคยบอกเลย สิ่งที่ทำในตอนนั้นก็เพียงแค่แอบเก็บรูปดอกทานตะวันที่เธอวาดด้วยสีน้ำและแปะไว้ที่โต้ะกลุ่ม ดังนั้นสิบปีผ่านไป ผมจึงถือโอกาสเอามาลงให้พวกวัยรุ่นวุ่นรักอ่านกันเล่นขำๆก่อนวันวาเลนไทน์จะมาถึงครับ
"La confession du voleur 1: คำรับสารภาพของจำเลยฉบับที่ ๑
จากบันทึกคำให้การของ พนง สอบสวน เมื่อวันที่ ๑๓ ธค ๕๐ ที่ผ่านมาหลังจากจับตัวผู้ต้องหาร้ายแรงในคดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืนอันเป็นเหตุฉกรร (ตามมาตรา ๓๓๔,๓๓๕ ประมวลกฏหมายอาญาไทย)ได้ที่ชายแดนพม่า อัยการได้ทำเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทยเร็วๆนี้ โดยศาลสรุปว่าคดีนี้มีมูลเนื่องจากพบหลักฐานสำคัญสองชิ้นที่โจทก์ได้ระบุไว้ในคำร้องทุกข์เมื่อสิบปีก่อน กล่าวคือ ๑ รูปภาพที่หายไป และ๒ คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนโดยมีข้อความที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวดังต่อไปนี้ (อ่านแล้วอย่าขำนะครับ) ;
“เมื่อสิบปีก่อนถ้าเลือกได้คงไม่เก็บภาพนั้นมาแน่นอนเพราะมันตอกย้ำความทรงจำอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรเปิ่นๆออกไป เมื่อย้อนไปถึงวัยที่เรายังเป็นเด็กบ้านนอกเข้ามาใน กทมฯ วันเดือนแรกแห่งการเรียนที่รังสิต ทำไมเราถึงได้พบผู้หญิงคนนึงที่ทำให้เราไม่ลืมจนเลยวัยเบญจเพศไป แน่ละ เพราะเธอคนนั้นน่ารักมากไง (จนเพื่อนเราด่าว่า ไอ้นี่เพ้อเจ้อทุกวัน) แต่ก็ไม่วายที่เราจะสมมุติว่า “คนนี้แฟนฉัน” (แต่ฉันไม่ใช่แฟนเธอเพราะเธอเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันยังไม่รู้จักเลย)
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คราวนี้เริ่มได้ข่าวกรองที่เราเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มของเธอ เพื่อนชายในกลุ่มเธอคนนึงที่เรา(พยายาม)ตีสนิทได้ให้ข่าวว่า “เธอชื่อแนท” (พลาดตั้งแต่เริ่มแล้ว เป็นไงละ) จากนั้นเด็กชายวัย ๑๘ ปีก็พร่ำเพ้อแบบไร้สามัญสำนึกทั้งที่รู้แค่นั้น เด็กชายจินตนาการถึงเด็กสาวคนนั้น คนที่ไว้ผมสั้น ผิวขาว ตาโตใสปิ้ง หิ้วกระเป๋าขนฟูสีดำและเครื่องประดับสีสันมากมาย ทันใดนั้นก็มีพวกกระจอกข่าว พิราบข่าวมาบอกว่า “คุณหนูแน่เลยวะมึง บ้างก็ว่าพ่อเธอโหด บ้างก็ว่าเธอมีแฟนแล้ว หล่อด้วย” พวกนี้ไม่ปล่อยข่าวลือ ก็ทำลายกำลังใจกันทั้งน้านนนนน!
เดือนที่สามสี่ผ่านไป เราเริ่มเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มด้วยตัวเอง(ทั้งที่อายเหลือเกิน)ด้วยกลวิธีหลากหลายมากมาย เช่น ทำเป็นไปทักเพื่อนในกลุ่มนั้นก่อน, หาเรื่องเดินไปเรียนโดยพร้อมเพรียงกับกลุ่มนี้ที่ตึกอื่น, ชวนเพื่อนชายไปเล่นบอล(ทั้งที่เราเตะไม่เป็นเลย), และที่เห่ยที่สุดคือ ชอบไปยืมชีทที่กลุ่มนั้น เฮ้อ มีแต่แผนเห่ยๆวะทำไงดีน้าาา
เพราะได้ข่าวจริงว่าเธอชื่อ “แอ๊น” เด็กชายคิดในใจว่า “เพื่อนเราให้ข่าวดีดีทั้งนั้น หึๆ ผิดหมดเลย” มีอยู่วันนึงที่เด็กชายแอบชำเลืองมองสาวในดวงใจของเขาแบบกล้าๆ อายๆ (จริงๆแอบดูทุกวัน แต่ใช้เทคนิคฯ) ทันใดนั้น หล่อนหันมามองและจ้องหน้า สายตาสบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลายอย่างอธิบายด้วยภาษาแต่หลายอย่างภาษาไม่อาจอธิบายได้ เหตุผลก็เช่นกัน เพียงแค่นี้ทำให้เด็กชายมีความสุขเหลือเกิน ใครด่าก็ไม่โกรธ ใครห้ามก็ไม่ฟัง นั่งอมยิ้มอย่างเดียว เพื่อนบอกรักทำมึงตาบอด แต่เขากลับตอบว่า “ไม่บอดๆมองเห็นแต่เป็นสีชมพู” เฮ้อ......เหนื่อยแทนอดีตครับ
ตอนนั้นเริ่มเข้าหน้าหนาว ลมรังสิตพัดแรง เริ่มมีข่าวกรองในกลุ่มเล่ากันว่าเธอพักอยู่ที่หอวี แต่มีรุ่นพี่มาจีบเธอเห็นว่าเป็นหนุ่มวิศวะ เด็กชายคิดในใจ “เอาไงดีวะกู เสียเปรียบแบบเห็นๆเลย” จึงตัดสินใจไปอยู่กับเพื่อนสนิทที่หอวีสักพัก(คงเทียบได้กับอยู่หอโดม ๑ แล้วไปสิงในเมืองลำปาง) เพื่อนเป็นเด็กวิศวะเช่นกัน แต่รอแล้วรอเล่า ก็ไม่เจอเธออีกเลย.............แหล่งข่าวบอกว่าช่วงใกล้ปิดเทอม เธอกลับบ้านแล้ว
สิ่งเดียวที่เด็กชายจดจำได้ตอนนั้นคือ สายตา สายตาคู่นั้นที่ใครเห็นก็คงต้องหวั่นไหวและไหวหวั่น ตากลมโตแวววาวมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างบอกไม่ถูก เค้าว่าดวงตาปิดกันไม่ได้นี่นา ดวงตานี้แสนอ่อนโยน จริงใจและน่าปกป้องเหลือเกินนนน...(น้ำเน่ามากครับแต่ได้ฟิว)
เข้าเดือนพฤศจิกายน ๔๐ จำได้ว่าเป็นช่วงลอยกระทงหน้าหนาว แสงไฟระยิบระยับจากพลุ เด็กชายเดินพลัดหลงเข้าไปพบกับเด็กสาวคนนี้โดยบังเอิญแถวๆโรงอาหาร ทำไงดีน้า? รวบรวมความกล้าเข้าไปทักดีมั้ยเนี่ย หรือ ทำฟอร์มเก็กต่อไปดี ทันทีที่เด็กหญิงเหลือบมามอง เด็กชายหลบฉากกกก หายแซ๊บบบบ อายครับอายยย ทำเป็นจุดพลุ
อีกเดือนได้ข่าวว่าแหล่งข่าวที่เราหาข่าวมาตลอดและพรรคพวกของแหล่งข่าวไม่เห็นด้วยกับการที่คนนอกกลุ่มจะเข้ามาจีบเธอ พวกองครักษ์พิทักเธอเยอะเหลือเกิน ทำไงดี ทำไงดีละในเมื่อเพื่อนของเธอในกลุ่มชอบเธอมากเหลือเกิน อีกทั้งมีความรู้สึกว่า เราและคู่หูที่ชอบไปเรียบๆเคียงๆ ถูกมองว่า ไม่น่าไว้ใจซะแล้ว
เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเธอมาถามกับเด็กชายเองว่า “นายชอบเธอเหรอ เราก็ชอบมากเลย”........., ถึงเวลาตัดสินใจคำนวณทุกอย่างที่มีข้อมูล- เพื่อนคนนี้ดีเหลือเกิน, เพื่อนคนนี้รักเธอเหลือเกิน, มันน่าจะรักจริง.........สำหรับผู้ชาย สามัญสำนึกมาก่อน
วันหนึ่ง เด็กสาวและเพื่อนๆได้นั่งเล่นกันและวาดภาพสีน้ำกันอย่างสนุกสนาน ภาพที่ปรากฏคือภาพดอกทานตะวันสีเขียวเหลืองลงชื่อของเด็กสาว ชั่ววู๊บแห่งความคิด เด็กชายตัดสินใจอะไรบางอย่าง
หนึ่งเดือนก่อนการตัดสินใจกระทำผิด จำเลยในคดีนี้ให้การว่า “สิ่งที่ทำไม่ผิด ในเมื่อการที่เราทำอะไรตรงกับที่ใจเราคิดย่อมไม่ผิด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราคิดอย่างทำอย่างนี่ถึงเรียกว่าผิด ผิดต่อความรู้สึกของตัวเองไง” ดังนั้น การกระทำก่อนๆของเขาจึงผิดมากกว่าที่เขากำลังจะทำเสียอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เค้าจะทำในสิ่งที่ใจต้องการ
แม้ กม มองว่าการลักทรัพย์เป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ถ้าสมมุติว่า “การลักยารักษาโรคเพื่อไปรักษาคนป่วย”มีเหตุจำเป็นอันได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษฉันท์ใดแล้ว การลักรูปภาพของคนที่เขารัก ก็เป็นเหตุจำเป็นต่อการรักษาใจ ฉันนั้น
สุดท้ายจำเลยได้สารภาพต่อ พนักงานสอบสวนว่า........ความรักเหมือนฟ้าผ่า เราไม่อาจรู้ว่ามันมาเมื่อไหร่ และไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่ารักไปซะแล้ว.........
ดังนั้นก่อนวันวาเลนไทน์นี้ ใครอยากจะสารภาพอะไรกับใครก็เต็มที่นะครับ ผมเอาใจช่วย ดีกว่า ๑๐ ปีพึ่งมาบอกแบบผม มันก็สายเสียแล้วครับ
ผมเองในวัยนั้นก็แบบนี้ละครับ อันที่จริงผมเคยแต่งนิยายไว้เรื่องหนึ่งให้กับคนที่ผมเคยชอบสมัยเรียนปีหนึ่งเช่นกันครับและบังเอิญผมมาเจอกัน ๑๐ ปีให้หลังยังกับนิยาย ดังนั้นผมเลยแต่งเรื่องสั้นให้เธอไปตอนโตและสารภาพครับว่าสมัยปีหนึ่งเคยชอบเธอแต่ไม่เคยบอกเลย สิ่งที่ทำในตอนนั้นก็เพียงแค่แอบเก็บรูปดอกทานตะวันที่เธอวาดด้วยสีน้ำและแปะไว้ที่โต้ะกลุ่ม ดังนั้นสิบปีผ่านไป ผมจึงถือโอกาสเอามาลงให้พวกวัยรุ่นวุ่นรักอ่านกันเล่นขำๆก่อนวันวาเลนไทน์จะมาถึงครับ
"La confession du voleur 1: คำรับสารภาพของจำเลยฉบับที่ ๑
จากบันทึกคำให้การของ พนง สอบสวน เมื่อวันที่ ๑๓ ธค ๕๐ ที่ผ่านมาหลังจากจับตัวผู้ต้องหาร้ายแรงในคดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืนอันเป็นเหตุฉกรร (ตามมาตรา ๓๓๔,๓๓๕ ประมวลกฏหมายอาญาไทย)ได้ที่ชายแดนพม่า อัยการได้ทำเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทยเร็วๆนี้ โดยศาลสรุปว่าคดีนี้มีมูลเนื่องจากพบหลักฐานสำคัญสองชิ้นที่โจทก์ได้ระบุไว้ในคำร้องทุกข์เมื่อสิบปีก่อน กล่าวคือ ๑ รูปภาพที่หายไป และ๒ คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนโดยมีข้อความที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวดังต่อไปนี้ (อ่านแล้วอย่าขำนะครับ) ;
“เมื่อสิบปีก่อนถ้าเลือกได้คงไม่เก็บภาพนั้นมาแน่นอนเพราะมันตอกย้ำความทรงจำอยู่ตลอดเวลาว่าทำอะไรเปิ่นๆออกไป เมื่อย้อนไปถึงวัยที่เรายังเป็นเด็กบ้านนอกเข้ามาใน กทมฯ วันเดือนแรกแห่งการเรียนที่รังสิต ทำไมเราถึงได้พบผู้หญิงคนนึงที่ทำให้เราไม่ลืมจนเลยวัยเบญจเพศไป แน่ละ เพราะเธอคนนั้นน่ารักมากไง (จนเพื่อนเราด่าว่า ไอ้นี่เพ้อเจ้อทุกวัน) แต่ก็ไม่วายที่เราจะสมมุติว่า “คนนี้แฟนฉัน” (แต่ฉันไม่ใช่แฟนเธอเพราะเธอเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันยังไม่รู้จักเลย)
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คราวนี้เริ่มได้ข่าวกรองที่เราเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มของเธอ เพื่อนชายในกลุ่มเธอคนนึงที่เรา(พยายาม)ตีสนิทได้ให้ข่าวว่า “เธอชื่อแนท” (พลาดตั้งแต่เริ่มแล้ว เป็นไงละ) จากนั้นเด็กชายวัย ๑๘ ปีก็พร่ำเพ้อแบบไร้สามัญสำนึกทั้งที่รู้แค่นั้น เด็กชายจินตนาการถึงเด็กสาวคนนั้น คนที่ไว้ผมสั้น ผิวขาว ตาโตใสปิ้ง หิ้วกระเป๋าขนฟูสีดำและเครื่องประดับสีสันมากมาย ทันใดนั้นก็มีพวกกระจอกข่าว พิราบข่าวมาบอกว่า “คุณหนูแน่เลยวะมึง บ้างก็ว่าพ่อเธอโหด บ้างก็ว่าเธอมีแฟนแล้ว หล่อด้วย” พวกนี้ไม่ปล่อยข่าวลือ ก็ทำลายกำลังใจกันทั้งน้านนนนน!
เดือนที่สามสี่ผ่านไป เราเริ่มเข้าไปแทรกซึมในกลุ่มด้วยตัวเอง(ทั้งที่อายเหลือเกิน)ด้วยกลวิธีหลากหลายมากมาย เช่น ทำเป็นไปทักเพื่อนในกลุ่มนั้นก่อน, หาเรื่องเดินไปเรียนโดยพร้อมเพรียงกับกลุ่มนี้ที่ตึกอื่น, ชวนเพื่อนชายไปเล่นบอล(ทั้งที่เราเตะไม่เป็นเลย), และที่เห่ยที่สุดคือ ชอบไปยืมชีทที่กลุ่มนั้น เฮ้อ มีแต่แผนเห่ยๆวะทำไงดีน้าาา
เพราะได้ข่าวจริงว่าเธอชื่อ “แอ๊น” เด็กชายคิดในใจว่า “เพื่อนเราให้ข่าวดีดีทั้งนั้น หึๆ ผิดหมดเลย” มีอยู่วันนึงที่เด็กชายแอบชำเลืองมองสาวในดวงใจของเขาแบบกล้าๆ อายๆ (จริงๆแอบดูทุกวัน แต่ใช้เทคนิคฯ) ทันใดนั้น หล่อนหันมามองและจ้องหน้า สายตาสบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลายอย่างอธิบายด้วยภาษาแต่หลายอย่างภาษาไม่อาจอธิบายได้ เหตุผลก็เช่นกัน เพียงแค่นี้ทำให้เด็กชายมีความสุขเหลือเกิน ใครด่าก็ไม่โกรธ ใครห้ามก็ไม่ฟัง นั่งอมยิ้มอย่างเดียว เพื่อนบอกรักทำมึงตาบอด แต่เขากลับตอบว่า “ไม่บอดๆมองเห็นแต่เป็นสีชมพู” เฮ้อ......เหนื่อยแทนอดีตครับ
ตอนนั้นเริ่มเข้าหน้าหนาว ลมรังสิตพัดแรง เริ่มมีข่าวกรองในกลุ่มเล่ากันว่าเธอพักอยู่ที่หอวี แต่มีรุ่นพี่มาจีบเธอเห็นว่าเป็นหนุ่มวิศวะ เด็กชายคิดในใจ “เอาไงดีวะกู เสียเปรียบแบบเห็นๆเลย” จึงตัดสินใจไปอยู่กับเพื่อนสนิทที่หอวีสักพัก(คงเทียบได้กับอยู่หอโดม ๑ แล้วไปสิงในเมืองลำปาง) เพื่อนเป็นเด็กวิศวะเช่นกัน แต่รอแล้วรอเล่า ก็ไม่เจอเธออีกเลย.............แหล่งข่าวบอกว่าช่วงใกล้ปิดเทอม เธอกลับบ้านแล้ว
สิ่งเดียวที่เด็กชายจดจำได้ตอนนั้นคือ สายตา สายตาคู่นั้นที่ใครเห็นก็คงต้องหวั่นไหวและไหวหวั่น ตากลมโตแวววาวมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างบอกไม่ถูก เค้าว่าดวงตาปิดกันไม่ได้นี่นา ดวงตานี้แสนอ่อนโยน จริงใจและน่าปกป้องเหลือเกินนนน...(น้ำเน่ามากครับแต่ได้ฟิว)
เข้าเดือนพฤศจิกายน ๔๐ จำได้ว่าเป็นช่วงลอยกระทงหน้าหนาว แสงไฟระยิบระยับจากพลุ เด็กชายเดินพลัดหลงเข้าไปพบกับเด็กสาวคนนี้โดยบังเอิญแถวๆโรงอาหาร ทำไงดีน้า? รวบรวมความกล้าเข้าไปทักดีมั้ยเนี่ย หรือ ทำฟอร์มเก็กต่อไปดี ทันทีที่เด็กหญิงเหลือบมามอง เด็กชายหลบฉากกกก หายแซ๊บบบบ อายครับอายยย ทำเป็นจุดพลุ
อีกเดือนได้ข่าวว่าแหล่งข่าวที่เราหาข่าวมาตลอดและพรรคพวกของแหล่งข่าวไม่เห็นด้วยกับการที่คนนอกกลุ่มจะเข้ามาจีบเธอ พวกองครักษ์พิทักเธอเยอะเหลือเกิน ทำไงดี ทำไงดีละในเมื่อเพื่อนของเธอในกลุ่มชอบเธอมากเหลือเกิน อีกทั้งมีความรู้สึกว่า เราและคู่หูที่ชอบไปเรียบๆเคียงๆ ถูกมองว่า ไม่น่าไว้ใจซะแล้ว
เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเธอมาถามกับเด็กชายเองว่า “นายชอบเธอเหรอ เราก็ชอบมากเลย”........., ถึงเวลาตัดสินใจคำนวณทุกอย่างที่มีข้อมูล- เพื่อนคนนี้ดีเหลือเกิน, เพื่อนคนนี้รักเธอเหลือเกิน, มันน่าจะรักจริง.........สำหรับผู้ชาย สามัญสำนึกมาก่อน
วันหนึ่ง เด็กสาวและเพื่อนๆได้นั่งเล่นกันและวาดภาพสีน้ำกันอย่างสนุกสนาน ภาพที่ปรากฏคือภาพดอกทานตะวันสีเขียวเหลืองลงชื่อของเด็กสาว ชั่ววู๊บแห่งความคิด เด็กชายตัดสินใจอะไรบางอย่าง
หนึ่งเดือนก่อนการตัดสินใจกระทำผิด จำเลยในคดีนี้ให้การว่า “สิ่งที่ทำไม่ผิด ในเมื่อการที่เราทำอะไรตรงกับที่ใจเราคิดย่อมไม่ผิด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราคิดอย่างทำอย่างนี่ถึงเรียกว่าผิด ผิดต่อความรู้สึกของตัวเองไง” ดังนั้น การกระทำก่อนๆของเขาจึงผิดมากกว่าที่เขากำลังจะทำเสียอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เค้าจะทำในสิ่งที่ใจต้องการ
แม้ กม มองว่าการลักทรัพย์เป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ถ้าสมมุติว่า “การลักยารักษาโรคเพื่อไปรักษาคนป่วย”มีเหตุจำเป็นอันได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษฉันท์ใดแล้ว การลักรูปภาพของคนที่เขารัก ก็เป็นเหตุจำเป็นต่อการรักษาใจ ฉันนั้น
สุดท้ายจำเลยได้สารภาพต่อ พนักงานสอบสวนว่า........ความรักเหมือนฟ้าผ่า เราไม่อาจรู้ว่ามันมาเมื่อไหร่ และไปเมื่อไหร่ รู้แต่ว่ารักไปซะแล้ว.........
ดังนั้นก่อนวันวาเลนไทน์นี้ ใครอยากจะสารภาพอะไรกับใครก็เต็มที่นะครับ ผมเอาใจช่วย ดีกว่า ๑๐ ปีพึ่งมาบอกแบบผม มันก็สายเสียแล้วครับ
Wednesday, January 6, 2010
You can do it because you believe you can!
You can do it because you believe you can!
คุณทำได้ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณจะทำให้ได้........
สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะครับ ผมเองก็พึ่งจะกลับมาจากบ้านไม่นานมานี้และได้เรื่องดีดีมาเล่าให้ฟังครับ ผมได้ไปทานข้าวกับศาสตราจารย์แพทย์หญิงคนหนึ่งมาครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยครับเป็นคนที่ผมนับถือเป็นพี่สาวแท้ๆ ที่น่าสังเกตก็คืออาจารย์หมอคนนี้เป็นคนพิการทางการเดินครับเนื่องจากเป็นปอลิโอแต่กำเนิดจึงไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปรกติ สมัยเด็กๆพี่สาวคนนี้มีชีวิตที่ลำบากมากครับและยังเกิดที่เมืองลาวด้วย สมัยที่เรียน ม ปลายนั้นเป็นคนขยันเรียนมากครับทั้งๆที่พิการ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้นจะเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ สมัยนั้นไม่ยินยอมให้คนพิการเรียนแพทย์ครับ ผมจำได้ว่าพี่สาวคนนี้อ้อนวอนมหาลัยอยู่นาน แต่มหาลัยก็ไม่สนองตอบใดๆ สุดท้ายเรื่องก็เข้าหูอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทราบเรื่องจากพี่สาวของเด็กสาวคนนี้ จึงได้ไปขอร้องให้ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยและคณะแพทย์ยินยอมให้สอบเรียนหมอ เมื่อเจอกับอธิการบดีซึ่งก็เป็นหมอด้วยแล้ว อธิการบดีก็ไม่ยินยอมอีกตามเคยครับโดยให้เหตุผลว่าคนพิการเรียนหมอจะไม่สะดวกต่อการทำงาน ดังนั้น อาจารย์อาวุโสท่านนี้จึงพูดสวนกลับไปยังอธิการบดีซึ่งมีเชื้อสายแขก (และไม่ทานหมู)ว่า “ขนาดคนไม่กินหมู เขายังรับเรียนแพทย์เลย พิกลมั้ย ทำไมคนพิการมีความสามารถ มีความพยายามถึงไม่รับ” คราวนี้เป็นอันได้เรื่องเลยครับ ยินยอมให้สอบแล้วผลก็ปรากฏว่า “สอบได้ที่ ๑”ด้วยครับ คำสอนจากศาสตราจารย์แพทย์หญิงพี่สาวผมนั้นสอนเพียงแค่ว่า “ขอให้เพียรพยายาม ความเก่งก็แพ้ความขยัน”
พอผมกลับจากการทานอาหารปีใหม่แล้วก็บังเอิญไปพบกับกลุ่มเพื่อนๆน้องๆนักเทนนิสที่เล่นกันมาสมัยเด็กๆ หลายๆคนเป็นแชมป์ประเทศไทยครับ(ยกเว้นตัวผม) และผมก็บังเอิญไปพบครูสอนเทนนิสของผมด้วยครับ ผมขอเรียกว่าเป็นครูของผมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะครูผมคนนี้สอนให้ผมดำเนินชีวิตมาอย่างดี อาจจะไม่ใช่เรื่องการศึกษาครับ แต่เป็นเรื่องจิตใจและความพยายาม ครูผมชื่อว่า “พี่ต๋อย”ครับ ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นผมโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ว่าบังเอิญเค้ามาสร้างสนามเทนนิสไว้หน้าบ้านผมพอดี ดังนั้นพ่อผมจึงมักจะให้ผมไปอยู่ที่สนามเทนนิสเลยครับเพราะที่บ้านก็ไม่มีใครดูแล พ่อแม่ผมเองก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายครับ ผมจึงไม่มีไม้เทนนิส เสื้อผ้า ฯลฯ เหมือนลูกคนอื่นๆที่พ่อแม่ส่งมาเรียนเทนนิสโดยตรง(ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะ) แต่ผมโชคดีที่มีพี่ต๋อยนี่ละครับ พี่ต๋อยเองก็ไม่ใช่เจ้าของสนามเทนนิสนะครับ (อย่าเข้าใจผิด) แต่เป็นเด็กเก็บบอลและเฝ้าสนามเทนนิสจนได้หัดเรียนเทนนิสกับเจ้าของสนามจนกลายเป็นโปรเทนนิสไปจนได้ (ก็เพราะความพยายามอีกนั่นแหละ) ผมเริ่มเล่นเทนนิสกับพี่ต๋อยทุกๆวันครับ เนื่องจากเงินน้อยเลยไม่มีโอกาสเรียนเวลาทั่วไป ผมจึงต้องแอบมาเรียนกับพี่ต๋อยตั้งแต่หกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครมาเรียนแน่ แต่ถึงกระนั้นพี่ต๋อยเองก็เสียสละมาสอนผมแต่เช้าตรู่ เริ่มแรกทีเดียวก็ไม่ได้มาสอนหรอกครับ(พี่ต๋อยหลับไม่ตื่นเพราะเช้ามาก) แต่ผมดันทุรังมาซ้อมเองทุกวันคนเดียวจนพี่ต๋อยเกิดเห็นใจในความบ้าบิ่น
ชีวิตผมได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ดีแสนดีกับผมคนนี้ และก็สอนเรื่องวินัย เรื่องความพยายาม ความมั่นใจอีกมากมาย โดยเฉพาะสอนผมเสมอว่า “อย่าขาดความมั่นใจ เราจะทำได้ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้” (ผมมาทราบภายหลังว่ามีคนที่ได้ดีจากพี่ต๋อยอีกหลายคน เช่น น้องนกที่ได้แชมป์เยาวชนหญิงเทนนิสโลกที่วิมบิลดั้ล) หลังจากที่ผมฝึกซ้อมเทนนิสกับพี่ต๋อยสักพักก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเรื่องไม้เทนนิสและอุปกรณ์ต่างๆมากมาย
หลังจากนั้นผมก็กลับบ้าน ตกดึกบังเอิญไปรื้อห้องนอนตัวเองสักพักก็มีเศษกระดาษเก่าๆตกลงมาจากข้างเตียงนอนของผม ผมเอื้อมไปหยิบหมายมั่นว่าจะเอาไปทิ้งแต่ก็ทิ้งไม่ลงเมื่อพบว่าเศษกระดาษนี้เขียนด้วยลายมือผมเองสมัยเรียน ม ๖ (อกหัก รักไม่เป็น)
ผมเขียนด้วยหมึกดำเอาไว้บนกระดาษรูปรถเต่าว่า “You can do it if you believe you can” พร้อมกับคำว่า “ไปธรรมศาสตร์กัน” เหลือบไปดูกระดาษขาดแหว่งๆอีกชิ้นเขียนถึงแผนการขอทุนไปเรียนต่อประเทศต่างๆ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาลัยปีสอง ทำให้ผมลำดับเรื่องราวได้ทั้งหมดเลยครับ
ผมหวนนึกถึงสมัยที่ผมยังเด็กนั้น ผมเป็นเด็กเกเรเลยทีเดียวครับ โรงเรียนมีหมายให้หักทั้งหมด ๒๐ หมาย ผมเหลืออีกสองหมาย ถูกพักการเรียนไปหนึ่งอาทิตย์เพราะเกเรมาก บ้างก็ไปชกต่อยกับคนอื่น รร อื่น บ้างก็ทำระเบิดไปวางในห้องน้ำ เรียนได้แต่วิชาสุขศึกษาครับที่เหลือนี่ซ่อมราบคาบ แต่สุดท้ายผมก็เกิดความมุ่งมั่นว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ด้วยตัวเองและคงต้องเป็นที่ธรรมศาสตร์ ผมจึงเขียนคำว่า “You can do it if you believe you can” ติดไว้ที่หัวเตียงและมุ่งมั่นขยันอ่านหนังสือจนสำเร็จ
เมื่อเข้า มาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้ ในยุคนั้นถือว่าโก้ไม่เบาละครับที่ได้มาเรียนท่าพระจันทร์ ก็ไม่วายเรียนนิติศาสตร์ยากแสนยากครับ ผมจำได้ว่าในปีแรกที่ประกาศผลสอบนั้นเพื่อนๆเรียนสอบตกกันระนาวเลยทีเดียวครับ ถึงกระทั่งในเทอมถัดมาก็เถอะครับ ร่วงกันเป็นใบไม่ร่วงเลยครับ (ซึ่งแรกๆก็ยังชิวๆกันอยู่แท้ๆ) อย่างไรเสียผมเองก็ยังไม่ตกสักตัวครับแต่คะแนนห่อเหี่ยวเลยทีเดียว จนกระทั่งปีสองเทอมแรกครับ ผมก็หนีไม่พ้นการสอบตกเช่นกันและเรียกได้ว่าตกแล้วตกเล่าในวิชาเดียวจนท้อแท้เลยครับ หลังจากนั้นผมเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตนเองเลยทีเดียวครับจนกระทั่งผมได้คำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่งที่ยังสนิทจนทุกวันนี้ เพื่อนผมบอกคำเดียวครับว่า “มึงไม่ได้โง่หรอก แต่มึงไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองทำได้”
...............................................................หลังจากนั้น สิ่งที่ผมยึดถือจนวันนี้ก็คือคำว่า เราทำได้ ถ้าเราพยายาม เพียงแต่ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้ที่รู้จักรอเท่านั้นเอง.....................................
มุมมองโดมห้างฉัตร
คุณทำได้ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณจะทำให้ได้........
สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะครับ ผมเองก็พึ่งจะกลับมาจากบ้านไม่นานมานี้และได้เรื่องดีดีมาเล่าให้ฟังครับ ผมได้ไปทานข้าวกับศาสตราจารย์แพทย์หญิงคนหนึ่งมาครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยครับเป็นคนที่ผมนับถือเป็นพี่สาวแท้ๆ ที่น่าสังเกตก็คืออาจารย์หมอคนนี้เป็นคนพิการทางการเดินครับเนื่องจากเป็นปอลิโอแต่กำเนิดจึงไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปรกติ สมัยเด็กๆพี่สาวคนนี้มีชีวิตที่ลำบากมากครับและยังเกิดที่เมืองลาวด้วย สมัยที่เรียน ม ปลายนั้นเป็นคนขยันเรียนมากครับทั้งๆที่พิการ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้นจะเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ สมัยนั้นไม่ยินยอมให้คนพิการเรียนแพทย์ครับ ผมจำได้ว่าพี่สาวคนนี้อ้อนวอนมหาลัยอยู่นาน แต่มหาลัยก็ไม่สนองตอบใดๆ สุดท้ายเรื่องก็เข้าหูอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทราบเรื่องจากพี่สาวของเด็กสาวคนนี้ จึงได้ไปขอร้องให้ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยและคณะแพทย์ยินยอมให้สอบเรียนหมอ เมื่อเจอกับอธิการบดีซึ่งก็เป็นหมอด้วยแล้ว อธิการบดีก็ไม่ยินยอมอีกตามเคยครับโดยให้เหตุผลว่าคนพิการเรียนหมอจะไม่สะดวกต่อการทำงาน ดังนั้น อาจารย์อาวุโสท่านนี้จึงพูดสวนกลับไปยังอธิการบดีซึ่งมีเชื้อสายแขก (และไม่ทานหมู)ว่า “ขนาดคนไม่กินหมู เขายังรับเรียนแพทย์เลย พิกลมั้ย ทำไมคนพิการมีความสามารถ มีความพยายามถึงไม่รับ” คราวนี้เป็นอันได้เรื่องเลยครับ ยินยอมให้สอบแล้วผลก็ปรากฏว่า “สอบได้ที่ ๑”ด้วยครับ คำสอนจากศาสตราจารย์แพทย์หญิงพี่สาวผมนั้นสอนเพียงแค่ว่า “ขอให้เพียรพยายาม ความเก่งก็แพ้ความขยัน”
พอผมกลับจากการทานอาหารปีใหม่แล้วก็บังเอิญไปพบกับกลุ่มเพื่อนๆน้องๆนักเทนนิสที่เล่นกันมาสมัยเด็กๆ หลายๆคนเป็นแชมป์ประเทศไทยครับ(ยกเว้นตัวผม) และผมก็บังเอิญไปพบครูสอนเทนนิสของผมด้วยครับ ผมขอเรียกว่าเป็นครูของผมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะครูผมคนนี้สอนให้ผมดำเนินชีวิตมาอย่างดี อาจจะไม่ใช่เรื่องการศึกษาครับ แต่เป็นเรื่องจิตใจและความพยายาม ครูผมชื่อว่า “พี่ต๋อย”ครับ ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นผมโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ว่าบังเอิญเค้ามาสร้างสนามเทนนิสไว้หน้าบ้านผมพอดี ดังนั้นพ่อผมจึงมักจะให้ผมไปอยู่ที่สนามเทนนิสเลยครับเพราะที่บ้านก็ไม่มีใครดูแล พ่อแม่ผมเองก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายครับ ผมจึงไม่มีไม้เทนนิส เสื้อผ้า ฯลฯ เหมือนลูกคนอื่นๆที่พ่อแม่ส่งมาเรียนเทนนิสโดยตรง(ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะ) แต่ผมโชคดีที่มีพี่ต๋อยนี่ละครับ พี่ต๋อยเองก็ไม่ใช่เจ้าของสนามเทนนิสนะครับ (อย่าเข้าใจผิด) แต่เป็นเด็กเก็บบอลและเฝ้าสนามเทนนิสจนได้หัดเรียนเทนนิสกับเจ้าของสนามจนกลายเป็นโปรเทนนิสไปจนได้ (ก็เพราะความพยายามอีกนั่นแหละ) ผมเริ่มเล่นเทนนิสกับพี่ต๋อยทุกๆวันครับ เนื่องจากเงินน้อยเลยไม่มีโอกาสเรียนเวลาทั่วไป ผมจึงต้องแอบมาเรียนกับพี่ต๋อยตั้งแต่หกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครมาเรียนแน่ แต่ถึงกระนั้นพี่ต๋อยเองก็เสียสละมาสอนผมแต่เช้าตรู่ เริ่มแรกทีเดียวก็ไม่ได้มาสอนหรอกครับ(พี่ต๋อยหลับไม่ตื่นเพราะเช้ามาก) แต่ผมดันทุรังมาซ้อมเองทุกวันคนเดียวจนพี่ต๋อยเกิดเห็นใจในความบ้าบิ่น
ชีวิตผมได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ดีแสนดีกับผมคนนี้ และก็สอนเรื่องวินัย เรื่องความพยายาม ความมั่นใจอีกมากมาย โดยเฉพาะสอนผมเสมอว่า “อย่าขาดความมั่นใจ เราจะทำได้ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้” (ผมมาทราบภายหลังว่ามีคนที่ได้ดีจากพี่ต๋อยอีกหลายคน เช่น น้องนกที่ได้แชมป์เยาวชนหญิงเทนนิสโลกที่วิมบิลดั้ล) หลังจากที่ผมฝึกซ้อมเทนนิสกับพี่ต๋อยสักพักก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเรื่องไม้เทนนิสและอุปกรณ์ต่างๆมากมาย
หลังจากนั้นผมก็กลับบ้าน ตกดึกบังเอิญไปรื้อห้องนอนตัวเองสักพักก็มีเศษกระดาษเก่าๆตกลงมาจากข้างเตียงนอนของผม ผมเอื้อมไปหยิบหมายมั่นว่าจะเอาไปทิ้งแต่ก็ทิ้งไม่ลงเมื่อพบว่าเศษกระดาษนี้เขียนด้วยลายมือผมเองสมัยเรียน ม ๖ (อกหัก รักไม่เป็น)
ผมเขียนด้วยหมึกดำเอาไว้บนกระดาษรูปรถเต่าว่า “You can do it if you believe you can” พร้อมกับคำว่า “ไปธรรมศาสตร์กัน” เหลือบไปดูกระดาษขาดแหว่งๆอีกชิ้นเขียนถึงแผนการขอทุนไปเรียนต่อประเทศต่างๆ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาลัยปีสอง ทำให้ผมลำดับเรื่องราวได้ทั้งหมดเลยครับ
ผมหวนนึกถึงสมัยที่ผมยังเด็กนั้น ผมเป็นเด็กเกเรเลยทีเดียวครับ โรงเรียนมีหมายให้หักทั้งหมด ๒๐ หมาย ผมเหลืออีกสองหมาย ถูกพักการเรียนไปหนึ่งอาทิตย์เพราะเกเรมาก บ้างก็ไปชกต่อยกับคนอื่น รร อื่น บ้างก็ทำระเบิดไปวางในห้องน้ำ เรียนได้แต่วิชาสุขศึกษาครับที่เหลือนี่ซ่อมราบคาบ แต่สุดท้ายผมก็เกิดความมุ่งมั่นว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ด้วยตัวเองและคงต้องเป็นที่ธรรมศาสตร์ ผมจึงเขียนคำว่า “You can do it if you believe you can” ติดไว้ที่หัวเตียงและมุ่งมั่นขยันอ่านหนังสือจนสำเร็จ
เมื่อเข้า มาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้ ในยุคนั้นถือว่าโก้ไม่เบาละครับที่ได้มาเรียนท่าพระจันทร์ ก็ไม่วายเรียนนิติศาสตร์ยากแสนยากครับ ผมจำได้ว่าในปีแรกที่ประกาศผลสอบนั้นเพื่อนๆเรียนสอบตกกันระนาวเลยทีเดียวครับ ถึงกระทั่งในเทอมถัดมาก็เถอะครับ ร่วงกันเป็นใบไม่ร่วงเลยครับ (ซึ่งแรกๆก็ยังชิวๆกันอยู่แท้ๆ) อย่างไรเสียผมเองก็ยังไม่ตกสักตัวครับแต่คะแนนห่อเหี่ยวเลยทีเดียว จนกระทั่งปีสองเทอมแรกครับ ผมก็หนีไม่พ้นการสอบตกเช่นกันและเรียกได้ว่าตกแล้วตกเล่าในวิชาเดียวจนท้อแท้เลยครับ หลังจากนั้นผมเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตนเองเลยทีเดียวครับจนกระทั่งผมได้คำแนะนำจากเพื่อนคนหนึ่งที่ยังสนิทจนทุกวันนี้ เพื่อนผมบอกคำเดียวครับว่า “มึงไม่ได้โง่หรอก แต่มึงไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองทำได้”
...............................................................หลังจากนั้น สิ่งที่ผมยึดถือจนวันนี้ก็คือคำว่า เราทำได้ ถ้าเราพยายาม เพียงแต่ความสำเร็จย่อมเป็นของผู้ที่รู้จักรอเท่านั้นเอง.....................................
มุมมองโดมห้างฉัตร
Subscribe to:
Posts (Atom)